ไอเรื้อรังอาจจะไม่ใช่โรคร้ายแรงเสมอไป

#ไอเรื้อรัง อาจจะไม่ใช่โรคร้ายแรงเสมอไป
อาการไอเรื้อรัง ถือว่าเป็นปัญหาที่สร้างความรบกวนจิตใจให้กับผู้คนเป็นอย่างมาก แถมยังเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญให้กับคนรอบข้างอยู่ไม่น้อย โดยทั่วไปในทางการแพทย์แล้วอาการไอเรื้อรังนั้นไม่ใช่โรคที่มีความรุนแรง แต่เป็นวิธีการหนึ่งของร่างกายที่พยายามจะกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในคอให้หลุดออกไปโดยเฉพาะเสมหะที่อุดตันการหายใจ แต่อาการไอเรื้อรังแบบปกติทั่วไป เมื่อได้รับการรักษาหรือดูแลเป็นอย่างดีแล้วจะมีอาการดีขึ้นภายในเวลาไม่เกิน 3 สัปดาห์ แต่ถ้าหากว่ายังคงมีอาการไออย่างต่อเนื่องและไม่ดีขึ้น อาจจะสันนิษฐานได้ว่าเป็นการไอที่มาจากโรคอื่น
เมื่อพบว่าตนเองมีอาการไอที่นานเกิน 3 สัปดาห์และดูเหมือนว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้นดูจะแย่ลงไป ก็ไม่ควรที่จะนิ่งนอนใจและซื้อยามาทานเอง เพราะอาจจะเกิดจากความผิดปกติของร่างกายหรือโรคที่มีความรุนแรงบางชนิด แต่สำหรับการไอทั่วไปที่ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานมาจากอาการป่วยที่เรียกว่าหวัดลงคอ ผู้ที่มีโรคหอบหืด หรือภูมิแพ้ สามารถที่จะมีอาการไอติดต่อกันนานๆได้ โรคกรดไหลย้อนก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการไอ เพราะร่างกายพยายามที่จะกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกมา ซึ่งบางคนก็ไม่ทราบว่าตนเองกำลังป่วยด้วยโรคนี้อยู่ อาการโดยทั่วไปของการไอ มีทั้งแบบไอแห้ง ไอมีเสมหะ อาจจะมีการไอร่วมกับอาการปวดศีรษะและมีน้ำมูก อาการไออาจจะมีความรุนแรงมากไปจนถึงทำให้เกิดการเจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ อ่อนเพลียไม่มีแรง เสียงแหบ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ และไม่สามารถนอนหลับได้
การรับประทานยาแก้ไอ ผู้ป่วยไม่ควรที่จะซื้อหายามาทานเองหากไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ควรที่จะเข้าทำการตรวจรักษาและได้รับการสั่งยาจากแพทย์โดยตรง เพื่อให้การรักษานั้นถูกรักษาอย่างตรงจุด การรักษาผู้ป่วยมักจะได้รับยาฆ่าเชื้อหรือยาที่กดอาการไอ ซึ่งมีผลข้างเคียงที่อาจจะทำให้เกิดการง่วง ในการดูแลตนเองของผู้ป่วยพยายามหลีกเลี่ยงของทอดของมัน หลีกเลี่ยงน้ำเย็น ใช้วิธีการจิบน้ำอุ่นทดแทนจะช่วยให้เสมหะที่เหนียวข้นในลำคอดีขึ้น หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และควันบุหรี่ พักผ่อนร่างกายและงดเว้นกิจกรรมที่ต้องใช้เสียงพูดให้มากที่สุด
สำหรับอาการไอเรื้อรังนั้นแม้ว่าจะไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงเสมอไป จนสร้างความกังวลใจให้กับผู้ป่วย แต่อย่าลืมที่จะสังเกตด้วยว่าอาการไอเรื้อรังทั่วไปนั้นจะสามารถมีอาการดีขึ้น มีความรุนแรงลดน้อยลงไปเรื่อยๆจนสามารถที่จะหายไปได้ในที่สุด แต่หากมีอาการไอที่รุนแรงและมีอาการอื่นๆร่วมด้วยก็ควรที่จะเข้าพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาอย่างทันท่วงที


อาหารเจกับมังสวิรัติแตกต่างกันอย่างไร?

อาหารเจกับมังสวิรัติแตกต่างกันอย่างไร?
#อาหารเจ และอาหารมังสวิรัติล้วนเป็นอาหารที่เราต่างก็รู้จักกันดีว่าเป็นอาหารที่ไม่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์ และยังดีต่อสุขภาพในหลายๆด้าน เป็นอาหารที่เราทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ด้วยพืชตระกูลถั่วต่างๆ ที่แม้ว่าจะมีโปรตีนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับสัดส่วนที่เท่ากันแล้ว แต่หากรับประทานในปริมาณที่มากขึ้นก็จะได้รับโปรตีนพอเหมาะพอดีกับที่ร่างกายต้องการเช่นเดียวกัน
ส่วนในเรื่องของความแตกต่างระหว่างอาหารเจกับมังสวิรัตินั้นมีความแตกต่างกัน ผู้ที่รับประทานอาหารเจอย่างเคร่งครัดจะไม่สามารถรับประทานอาหารบางชนิดที่ยู่ในมังสวิรัติได้ อาหารเจจะเป็นอาหารที่มีความเคร่งครัดในการหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์แล้วยังรวมไปถึงการหลีกเลี่ยงผักบางชนิด อย่างผักชี หอม กระเทียม กุ่ยช่าย รวมไปถึงเครื่องเทศที่มีรสชาติจัดจ้านหรือเผ็ดร้อน เชื่อกันว่าอาหารประเภทนี้เป็นตัวสร้างความกำหนัด ทำให้จิตใจไม่บริสุทธิ์ ดังนั้นอาหารเจนอกจากจะเคร่งในเรื่องของส่วนประกอบในอาหารแล้ว ยังเกี่ยวข้องถึงเรื่องของจิตใจและความเชื่ออีกด้วย ส่วนประกอบหลักๆของอาหารเจก็คือ แป้ง เต้าหู้ ถั่วเหลืองและถั่วอื่นๆ มีเครื่องปรุงรสเป็นซีอิ้วเป็นหลัก นอกจากนั้นยังมีผักอื่นๆอีกมากมายที่ใช้ในการประกอบอาหาร เครื่องปรุงที่ใช้ในการปรุงอาหารเจจะต้องไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์หรือสัมผัสกับเนื้อสัตว์ น้ำมันพืชจะต้องมีความบริสุทธิ์ไม่มีการผสม และที่สำคัญเครื่องมือในการประกอบอาหารรวมไปถึงจานชามที่ใช้รับประทานจะต้องไม่ผ่านการสัมผัสหรือปนเปื้อนจากเนื้อสัตว์มาก่อน อาหารเจมีความยุ่งยากซับซ้อนในการกินและไม่สามารถที่จะร่วมรับประทานอาหารจานเดียวกันกับบุคคลที่รับประทานเนื้อสัตว์ได้ ดังนั้นการกินเจจึงถูกจัดขึ้นเป็นช่วงๆตามเทศกาลกินเจ โดยมักจะมีการกินเจประมาณ 10 วันหรือช่วงใดช่วงหนึ่งตามความเชื่อ
สำหรับอาหารมังสวิรัติ หมายถึงการงดเว้นจากเนื้อสัตว์ ซึ่งมักจะแบ่งออกเป็นสองประเภทคือผู้ที่เคร่งครัดในการรับประทาน คล้ายกับอาหารเจแต่ไม่เคร่งครัดเท่าคือสามารถบริโภคผักได้ทุกชนิดไม่ต้องงดเว้น ส่วนอีกประเภทก็คือพวกที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ แต่ยังคงรับประทานนมและไข่อยู่ อาหารมังสวิรัติไม่มีเทศกาลเช่นเดียวกันกับอาหารเจ ผู้ที่ต้องการรับประทานสามารถทำได้ทุกเวลาและไม่ยุ่งยาก สามารถร่วมรับประทานร่วมกับผู้ที่ทานเนื้อได้ปกติ และใช้ภาชนะต่างๆร่วมกันได้ เพียงแต่ผู้ที่หันมารับประทานมังสวิรัตินั้นเชื่อกันว่าจะช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงและหลีกเลี่ยงสารพิษจากเนื้อสัตว์ รวมไปถึงการได้บุญกุศลในการละเว้นการรับประทานสิ่งมีชีวิตด้วยอีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตามการกินเจและมังสวิรัติอาจจะดูไม่แตกต่างกันมากเท่าใดนัก นอกจากความซับซ้อนของอาหารเจที่มีมากกว่า แต่เป้าหมายหลักของทั้งสองประเภทก็คือการที่เราได้หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ หันมารับประทานอาหารที่มีคุณประโยชน์และดีต่อสุขภาพ และที่สำคัญเป็นการช่วยยกใจเราให้ใสสะอาดจากการไม่เบียดเบียนชีวิตของผู้อื่น


อันตรายจากวิตามินลดความอ้วนแบบเฉพาะส่วน


กระแสของการ #ลดความอ้วน ขาเรียวแขนเรียว ยังคงเป็นที่นิยมกันอยู่ในปัจจุบัน แต่อาจจะไม่เท่ากับช่วงแรกของค่านิยมเหล่านี้ที่เข้ามาพร้อมกันกับยาลดสัดส่วน หรือวิตามินลดสัดส่วน ที่เข้ามาตีตลาดสำหรับผู้ที่ไม่พอใจกับรูปร่างของตนเอง ขี้เกียจคุมอาหารและออกกำลังกาย อยากจะเห็นผลของความกระชับแบบทันตา ทำให้วิตามินเหล่านี้ได้รับความสนใจกันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในช่วงมัธยมปลายที่อาจจะยังไม่มีความสามารถในการไตร่ตรองที่มากพอ หลงเชื่อไปกับโฆษณาชวนเชื่อเหล่านี้กันเป็นจำนวนมาก
คำโฆษณาชวนเชื่อที่ต่างประโคมโน้มน้าวให้ผู้คนได้มั่นใจ ตั้งแต่การอ้างสรรพคุณของตัววิตามินที่สามารถลดสัดส่วนแบบเฉพาะจุด ตั้งแต่วิตามินขาเรียว วิตามินลดหน้าท้อง ลดต้นแขน ลดสะโพก ไปจนถึงวิตามินหน้าเรียว ที่แบ่งประเภทกันอย่างเป็นระบบเป็นที่เรียบร้อย ราคาเริ่มต้นไม่แพงเกินที่ชาวบ้านทั่วไปตะเอื้อมถึง ด้วยราต่ำสุดที่เม็ดละ 10 บาท บางตัวยังมีการโฆษณาว่าส่งรงมาจากญี่ปุ่น ได้รับการรับรองจากทาง อย.เป็นที่เรียบร้อย แถมยังเน้นย้ำอีกว่าเห็นผลจริง ปลอดภัยและยังขับสารพิษในลำไส้ได้อีกด้วย บางยี่ห้ออธิบายถึงส่วนผสมที่ไม่เป็นอันตรายเพราะทำจากยาสมุนไพร ไม่ใช่ยาลดความอ้วนที่เรากลัวๆกัน ผ่านการรับรองจากสถาบันต่างๆมาเป็นที่เรียบร้อย เป็นกระบวนการที่สร้างความพึงพอใจและมั่นใจให้กับลูกค้า เมื่อการกินแล้วเห็นผลไม่เกิดอาการที่เรียกว่าโยโย่ตามมา ก็ทำให้ความเชื่อถือนี้ได้รับการบอกกล่าวปากต่อปาก จนแพร่หลายอย่างน่ากลัว
แต่ดูเหมือนว่าคำโฆษณาที่กล่าวอ้างมาทั้งหมดนั้นจะไม่เป็นความจริง เพราะเราต้องเข้าใจเสียก่อนว่าการลดไขมันหรือรีดไขมันเฉพาะส่วนออกจากร่างกายโดยการไม่ควบคุมอาหารหรือออกกำลังกายนั้นไม่สามารถที่จะทำได้ การลดไขมันในร่างกายจะต้องค่อยๆลดตามสัดส่วนของร่างกายและลักษณะทางโครงสร้างทางกรรมพันธุ์ ไม่สามารถที่จะไปบังคับให้ส่วนใดส่วนหนึ่งลดก่อนได้ อีกทั้งในวงการแพทย์ยังเน้นย้ำว่าการลดน้ำหนักที่ได้ผลที่สุดก็คือการออกกำลังกายและควบคุมอาหาร แต่ไม่ใช่การอดอาหาร ทำแบบนี้เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ เราจะสามารถมีรูปร่างที่สมส่วนและมีมวลกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น ทำให้เรามีรูปร่างที่สวยงามได้โดยที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อวิตามินเหล่านั้นมากิน ทั้งยังไม่เสี่ยงต่อการได้รับอันตรายจากวิตามินที่เราไม่รู้ส่วนผสม อีกหนึ่งคำกล่าวอ้างที่จะทำให้เหล่าผู้ที่กำลังหาซื้อวิตามินลดเฉพาะส่วนมากินเองนั้น ทาง อย.ได้ระบุเอาไว้ว่ายาลดความอ้วนเฉพาะส่วนนั้นไม่สามารถทำได้ หากมีก็จะสามารถลดได้แบบโดยรวม ซึ่งส่วนใหญ่ที่เราพบว่ายาลดความอ้วนที่มาจากสมุนไพรก็มักจะถูกตรวจพบตัวยาที่มีชื่อว่าไซบูทรามีน ที่เป็นยาลดความอ้วน ช่วยในการสลายไขมัน และกดประสาทไม่ให้อยากอาหาร มีผลข้างเคียงกับการทำงานที่ผิดปกติของอวัยวะในร่างกาย
ดังนั้นคำโฆษณาในท้องตลาดที่เกี่ยวกับวิตามินลดความอ้วนเฉพาะส่วนถือว่าเป็นการโฆษณาเกินจริง การลดความอ้วนที่ดีได้ทั้งความปลอดภัยและรูปร่างที่ดีนั้น ไม่ต้องแลกมาด้วยการเสียเงินซื้อยาราคาแพง เพียงแค่เราหันมาใส่ใจกับการกินและออกกำลังกายเท่านั้นก็จะสามารถมีรูปร่างที่ผอมเพรียวได้อย่างแน่นอน