ขัดผิวหน้าเผยผิวใส

ขัดผิวหน้าเผยผิวใส
การสครับผิวหน้าเป็นการขัดผิวหน้าเพื่อเผยผิวใส เรียบเนียนยิ่งขึ้น เมื่อบำรุงผิวหน้าด้วยครีมใดๆ ก็จะสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก แต่การขัดผิวหน้ามีประโยชน์จริงหรือไม่ มาดูกันก่อนดีกว่าคะ
การขัดผิวด้วยการสครับไม่เหมาะที่จะทำบ่อยๆ แม้ว่าการสครับจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป แต่ก็ไม่ควรทำเป็นประจำ เพราะจะทำให้ผิวหน้าบางและถูกทำลายจากปัจจัยอื่นๆได้ง่าย เช่น แสงแดดและมลภาวะ เป็นต้น โดยเฉลี่ยควรสครับหน้าเพียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เมื่อเราทราบว่าการสครับคือการขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป ก็ควรเลือกสครับที่มีความอ่อนโยนต่อผิวหน้ามาช่วยขัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออกไป การสครับนั้นเหมาะกับผิวที่มีรูขุมขนกว้างและผิวที่มีปัญหาสิว แต่หากพบว่ามีสิวมากก็ควรเลี่ยงการขัดด้วยสครับ เพราะอาจทำให้สิวอักเสบได้ง่าย ควรรอให้สิวหายจากอาการอักเสบลงก่อน เพื่อที่จะได้ไม่เกิดการระคายเคือง นอกจากนี้การสครับผิวหน้ายังช่วยกระชับรูขุมขนที่เคยกว้างให้ค่อยๆเล็กลงได้ แต่ควรทำควบคู่ไปกับการใช้ครีมที่มีคุณสมบัติในการช่วยกระชับรูขุมขน
การสครับผิวหน้าเพียงแค่สัปดาห์ละครั้ง ไม่เพียงแต่ช่วยลดการเกิดสิวเท่านั้น แต่ยังทำให้รูชุมชนเล็กลงอีกด้วย อีกทั้งการทำสครับยังช่วยทำให้ผิวหน้าของคุณดูกระจ่างใส ไม่หมองคล้ำ จากการสะสมของเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว ที่สำคัญยังช่วยแก้ปัญหาสิวเสี้ยนในบางกรณีได้อีกด้วย เห็นไหมล่ะคะว่าการทำสครับผิวหน้านั้น มีความสำคัญอย่างไรกับใบหน้าของเรา

รอยหมองคล้ำรอบดวงตา

รอยหมองคล้ำรอบดวงตา
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อค่ะ  แค่เพียงคุณมีริ้วรอยร่องลึก  และความหมองคล้ำรอบดวงตาอย่างเห็นได้ชัด  ก็ทำให้ใบหน้าของคุณแลดูไม่สดใสซะแล้ว  หรือบางคนอาจแลดูโทรมเสียด้วยซ้ำไป  ปัญหาเรื่องริ้วรอย  และความหมองคล้ำรอบดวงตา  ถือเป็นปัญหาที่ควรต้องใส่ใจดูแลรักษา  และทะนุถนอมอย่างต่อเนื่อง  เพราะพื้นที่รอบดวงตาถูกจัดอันดับว่าเป็นส่วนที่บอบบางที่สุดบนใบหน้า  ที่แน่  ๆ  ดวงตาถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญว่า  ใบหน้า  จะดูสวยหรือดูโทรม  
แต่เมื่อถึงเวลาที่อายุมากขึ้น  ริ้วรอย  หรือที่เรียกกันจนติดปากว่า  รอยตีนกา  ก็จะแสดงตัวตนออกมาในวันหนึ่ง  ยังไงเสียเราก็หนีกันไม่พ้น  แต่อย่างน้อยเราก็มีวิธีชะลอการเกิดรอยตีนกา  และความหมองคล้ำให้ดวงตาได้  ด้วยการพยายามหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดซึ่งต่อจากนี้เรามาดูกันว่า  อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวบริเวณรอบดวงตาเกิดริ้วรอยร่องลึก  และความหมองคล้ำ
การอดหลับอดนอน  หรือเกิดภาวะเครียดจนนอนไม่หลับ
ติดนิสัยชอบใช้มือขยี้ตาแรง  ๆ  หรือแตะสัมผัสผิวบริเวณรอบดวงตาอย่างไม่เบามือ
ใช้งานดวงตาหนักจนเกินไปคือ  ทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน  ๆ  หรือใช้สายตาอ่านหนังสืออย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน  ๆ  โดยไม่มีการพักสายตาบ้าง
ไม่ถนอมสายตา  หรือปกป้องสายตาจากแสงแดด
ละเลยเรื่องการทาครีมบำรุงผิวบริเวณรอบดวงตา
เพราะกลไกของร่างกายที่สร้างมันขึ้นเองคือ  สร้างเมลานินที่อยู่บริเวณผิวรอบดวงตามากกว่าปกติ  จึงทำให้สีผิวรอบดวงตาเข้มมากกว่าบริเวณอื่น  ๆ

ดวงตาสวยใส มองแล้วปิ๊งปิ๊ง

ดวงตาสวยใส  มองแล้วปิ๊งปิ๊ง
ทั่วทั้งผิวหน้า  จัดลำดับผิวให้ผิวบริเวณรอบดวงตาเป็นส่วนที่บอบบางที่สุด  และแน่ล่ะ  ผิวส่วนนี้จำเป็นต้องทะนุถนอมเป็นพิเศษ  ไม่อย่างนั้นจะมีอายครีมออกมาขายกันทำไม  จริงมั้ยคะ?  หากคุณปล่อยให้ผิวรอบดวงตาหมองคล้ำ  แห้งเหี่ยว  และเต็มไปด้วยริ้วรอย  รับรองใบหน้าของคุณจะแลดูโทรมไม่สดใส  หรืออาจดูแลเป็นคุณป้าเร็วกว่าอายุ  ถ้าเช่นนั้นก็ตามมาดูกันเลยดีกว่าว่า  ต้องเสริมเกราะป้องกันดวงตาด้วยวิธีไหน
ทาอายครีมรอบดวงตาทุกวันทั้งเช้าและเย็น  ที่สำคัญเวลาทาควรทาด้วยความแผ่วเบาที่สุดด้วยนิ้วนาง  ส่วนปริมาณที่ใช้ขอแค่ประมาณ  1  เมล็ดถั่วเขียวก็พอ
กินอาหารที่มีวิตามิน  เอ  สูง  เพราะวิตามิน  เอ  มีคุณสมบัติช่วยบำรุงสายตา  เช่น  ผักใบเขียวอย่างพวกคะน้า  ตำลึง  ผักบุ้ง  ผักโขม  บร็อคโคลี  หน่อไม้ฝรั่ง  ฯลฯ
ทุกครั้งที่ต้องออกไปเผชิญกับแสงแดด  สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ  แว่นตากันแดด  หรืออาจจะใส่หมวก  หรือกางร่มด้วยก็จะดีไม่น้อย
ห้ามขยี้ตาแรง  ๆ  เพราะแรงขยี้จะทำลายผิวบริเวณรอบดวงตา  หรืออาจทำให้เส้นเลือดในดวงตาแตกได้
ไม่ควรใช้งานดวงตาหนัก  เช่น  ใช้สายตาจ้องคอมพิวเตอร์นาน  ๆ  หรือคร่ำเคร่งอ่านหนังสือเป็นเวลาหลายชั่วโมง  โดยไม่มีการหยุดพักสายตา  วิธีที่จะช่วยถนอมสายตาคือ  หยุดพักบ้าง  อย่างน้อยทุก  ๆ  หนึ่งชั่วโมง  คลายความเมื่อยล้าด้วยการหลับตาลงสักพัก  หรือหันไปมองความเขียวสดของต้นไม้ใบไม้นอกหน้าต่างบ้าง  แล้วค่อยมาลุยกันต่อ
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
สำหรับคนที่ใส่คอนแทคเลนส์  สิ่งสำคัญที่สุดคือ  การดูและเรื่องความสะอาดและคุณภาพของคอนแทคเลนส์  เพราะถ้าคุณไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้  ปัญาหาต่าง  ๆ  ตามมาแน่นอน  โดยเฉพาะเรื่องของการ  “ติดเชื้อ”  ที่สาว  ๆ  ผู้นิยม  “บิ๊กอาย”  (bigeye)  ทั้งหลายชอบ

พลังธรรมชาติรังสรรค์ความงาม

พลังธรรมชาติรังสรรค์ความงาม
พืชผักผลไม้ถือเป็นขุมทรัพย์แห่งความงามก็ว่าได้  เพราะเราต่างก็รู้กันดีกว่า  พืชผักผลไม้ล้วนอุดมไปด้วยวิตามิน  และแร่ธาตุสารพัด  คุณค่าของธรรมชาติที่อัดแน่นอยู่ในพืชผักผลไม้ทั้งหลาย  มีส่วนอย่างมากต่อการคงความอ่อนเยาว์ให้กับคุณ  ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว  ช่วยลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว  ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับผิว ช่วยผลัดเซลล์ผิว  ที่สำคัญยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเลิศช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์  และช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะแวดล้อมต่าง  ๆ
ว่ากันตามจริงแล้ว  การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวถือเป็นการบำรุงผิวแค่เพียงภายนอก  ถือว่าไม่เพียงพอต่อการชะลอความร่วงโรย   เพราะถ้าจะให้ได้ผลอย่างเต็มที่  ก็ต้องบำรุงบำเรอกันทั้งภายนอกและภายใน  ฉะนั้น  ควรป้อนสิ่งดี  ๆ ให้กับตัวคุณเอง  หันมาชะลอความร่วงโรยด้วยการกินผักผลไม้สด  ๆ  ทุกวันอย่างสม่ำเสมอ  เพราะการกินผักผลไม้  ถือเป็นการปั้นสาวจากภายในแบบสุดยอด  อีกทั้งยังให้กากใยอาหาร  ซึ่งกากใยอาหารจะส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย  ทำให้หมดปัญหาเรื่องอาการท้องผูก  และไหนจะไฟโตนิวเทรียนท์อีก   ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

อาหารทำร้ายผิวที่เกิดสารอนุมูลอิสระไม่ควรแตะ

อาหารบางประเภท
ถ้าจะไม่พูดถึงอาหารทำร้ายผิว  ก็ไม่ครบกระบวนการปั้นสาวเปลือยสวยของเรา  รู้กันดีอยู่แล้วว่าตัวการใหญ่ที่สร้างสารอนุมูลอิสระขึ้นมาก็คือกระบวนการเผาผลาญอาหารนั่นเอง  ดังนั้น  ประเภทอาหารที่กินจึงมีส่วนสำคัญอย่างมาก  เพื่อเป็นการช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระเราจึงจำเป็นต้องรู้ว่าอาหารประเภทไหนที่ไม่ควรแตะต้อง  แต่ถ้าอดใจไม่ไหวก็ควรกินแต่เพียงน้อยนิด
อาหารประเภทไขมันอิ่มตัว
อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง  พบได้ในอาหารประเภทไอศกรีม  ขนมกรุบกรอบ  ช็อกโกแลต  เนย  นม  กะทิ เนื้อสัตว์ติดมัน  หนังไก่  อาหารแปรรูปอย่างพวก  ไส้กรอก  หมูแฮม  เบคอน  รายชื่ออาหารที่ว่านี้ล้วนเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพและความร่วงโรยของเซลล์ผิว
อาหารประเภทของทอด  ของมันต่าง  ๆ
อาหารทอดและอาหารมันต่าง  ๆ  เป็นประเภทที่มีไขมันอิ่มตัวสูงเมื่อกินเข้าไปมาก  ๆ  จะทำให้เกิดการอุดตันตามรูขุมขน เป็นต้นต่อของการเกิดสิว  โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารประเภททอดจะมีอนุมูลอิสระซึ่งเป็นตัวการทำลายเซลล์ผิว  และถ้ายิ่งเป็นอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ  ๆ  ควรหลีกเลี่ยงเพราะจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ
เครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีนเป็นส่วนผสม
ชา  กาแฟ  และน้ำอัดลม  หากดื่มมากเกินจะไปทำลายความชุ่มชื้นของผิวหนัง  ทำให้ผิวขาดน้ำ  มีแต่ความแห้งกร้าน  และขาดความสดใสเปล่งปลั่ง

อ่อนกว่าวัย ด้วย ผลไม้และผักช่วยได้

อ่อนกว่าวัย ด้วย ผลไม้
เชื่อไหมคะ การกินผลไม้สดทุกวันไม่เคยขาด  บางมื้อบางวันกินแทนข้าวเสียด้วยซ้ำ  แต่ละเดือนเสียเงินค่าผลไม้มากกว่าค่าข้าวเสียอีก  ไม่อายเลยค่ะถ้าจะบอกว่า  ทุกวันนี้ที่ดิฉันดูอ่อนกว่าวัยเพราะดิฉันเป็นประเภทบ้ากินผลไม้  แต่ไม่ต้องแปลกใจนะคะ  ว่าทำไมไม่บอกว่าบ้ากินผักด้วย  เพราะในอาหารแต่ละมื้อก็ต้องเลือกเมนูที่มีผักด้วยอยู่แล้ว  หากลองตรึกตรองกันอย่างถี่ถ้วน  การเสียเงินซื้อผักผลไม้สด  ๆ  มากิน  คุ้มค่าเสียยิ่งกว่าการเสียเงินซื้อขนมขบเคี้ยวต่าง  ๆ  รวมถึงขนมเค้ก  และช็อกแลต  เพราะนอกจากความอร่อยที่ได้จากสิ่งเหล่านี้แล้วก็  คือไขมันสะสมนั่นเอง  เผลอ  ๆ  ขนมบางยี่ห้อราคาแพงยิ่งกว่าผลไม้บางชนิดเสียอีก  ถ้าอยากมีผิวพรรณสวยใสก็ต้องกินผักผลไม้ให้มาก  ๆ  หรืออาจเฉพาะเจาะจงเลือกกินชนิดที่มีคุณสมบัติโดดเด่นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม  เพื่อเป็นการป้องกันเซลล์ผิวไม่ให้ถูกทำร้าย  และเป็นการช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้มีความชุ่มชื้น  สดใสเปล่งปลั่ง  และคงความอ่อนเยาว์ไว้
หลายคนอาจอยากรู้ว่าผลไม้ชนิดไหนบ้างที่จะช่วยเนรมิตผิวสวยได้  อยากจะบอกว่า  ผักผลไม้ทุกชนิดล้วนดีมีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งนั้น  ผิวของคุณจะสวยชัวร์  ถ้าคุณไม่ลืมที่จะกินผักผลไม้ทุกวัน  และถ้าจะให้ง่ายสบายกระเป๋าสตางค์   ก็นี่เลย…กินผักผลไม้สดที่ออกตามฤดูกาล  เพราะจะได้กินของคุณภาพดี  ราคาถูกแถมยังหาซื้อได้ง่ายด้วย


ผักช่วยได้
ตำลึง
ตำลึงเป็นพืชผักพื้นบ้านที่หากินกันได้ตลอด  365  วัน  แถมยังราคาแสนถูก  ที่สำคัญใบตำลึงเต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามิน  เอ  ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยบำรุงสายตา  ช่วยขับสารพิษ  และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย  ส่วนในเรื่องของผิวพรรณ  วิตามิน  เอ  ช่วยดูแลผิวได้เป็นอย่างดี  อาทิ  ช่วยรักษาความชุ่มชื้น  ไม่ทำให้ผิวแห้งหยาบ  ช่วยลดการอักเสบที่เกิดจากสิว  และช่วยลบเลือนจุดด่างดำ
บร็อคโคลี
บร็อคโคลีเป็นผักที่มากไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระมีคุณสมบัติช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกาย  ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด  และช่วยเสริมภูมิต้านทานร่างกายให้แข็งแรงขึ้น  ที่สำคัญสารเบต้าแคโรทีน  และซีลีเนียมที่อยู่ในบร็อคโคลี  จะช่วยบำรุงผิว  คงความแข็งแรงของผิวไว้  ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น  และชะลอการเกิดริ้วรอย
ผักโขม
ผักโขมเป็นผักใบเขียวที่กินแล้วจะชะลอความแก่ได้  เพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว  คงความแข็งแรงของผิวไว้  และยับยั้งการเกิดริ้วรอยไม่เพียงเท่านี้  ผักโขมยังมีคุณสมบัติช่วยล้างสารพิษ  และช่วยบำรุงระบบประสาท  และสมองอีกด้วย
มะเขือเทศ
สารสีแดงที่ชื่อว่าไลโคพีน  (Lycopene)  ที่อยู่ในมะเขือเทศเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ  ค่อนข้างมีบทบาทสำคัญต่อร่างกายคือ  ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด  ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์  ช่วยสร้างคอลลาเจน   ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว  และช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ซึ่งถือว่าเป็นการรักษาความอ่อนเยาว์  ความนุ่มนวล  และความกระชับของผิว  เพื่อเป็นการชะลอความร่วงโรยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
แครอท
ทุกอณูเนื้อของแครอทจะมากไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน  ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ  ที่จะคอยปกป้องเนื้อเยื่อเซลล์รวมถึงเซลล์ผิวไม่ให้ถูกทำร้ายจากเหล่าอนุมูลอิสระ  ถือเป็นการช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว  ทำให้ผิวแข็งแรง  และคงความสดใสเปล่งปลั่งไว้ได้เนิ่นนาน

อย่าอายที่จะสวมแว่นกันแดด

อย่าอายที่จะสวมแว่นกันแดด
ปกป้องใบหน้าด้วยครีมกันแดดแล้ว ก็อย่าลืมปกป้องดวงตาของคุณด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะที่ต้องออกแดดทุกครั้ง เพราะดวงตาคู่สวยก็มักจะโดนแสงแดดทำลายได้เช่นเดียวกันกับผิวอานุภาพทำลายล้างของรังสี UV จากแสงแดดดูจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน หากไม่หาทางป้องกัน มีหวังดวงตาคู่สวยเป็นอันต้องหมดสวยอย่างแน่นอน แต่จะมีวิธีการใดบ้างที่สามารถดูแลและปกป้องดวงตาคู่สวยของคุณให้ห่างไกลจากการโดนแสงแดดทำลาย
การปกป้องดวงตาจากแสงแดด อาจไม่จำเป็นที่จะต้องป้องกันด้วยครีมกันแดดเสมอไป เพราะสารเคมีในครีมกันแดดนั้น อาจส่งผลทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตาของคุณได้ ฉะนั้น วิธีการป้องกันแสงแดดให้กับดวงตาน่าจะเลือกการสวมแว่นตาจะดีกว่า โดยแว่นตาที่เลือกนั้นจะต้องเป็นแว่นตาที่สามารถกรองเอารังสี UV ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้รังสีทะลุผ่านแว่นตาเข้ามาทำลายดวงตาคู่สวยของคุณ นอกจากแว่นตาจะช่วยป้องกันแสงแดดแล้ว ยังช่วยให้คุณเผชิญกับแสงแดดได้อย่างสบายตายิ่งขึ้น ไม่จำเป็นต้องหรี่ตา หยีตา หรือเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งในขณะที่มีแสงแดดสาดส่อง เพียงแค่สวมแว่นตาปัญหาการมองเห็นในที่แดดจ้าก็จะสามารถทำได้สะดวกมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังไม่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยบนใบหน้าอีกด้วย
วันนี้คุณพกแว่นตาสำหรับกันแดดไปยังที่ต่างๆหรือยัง ถ้ายังล่ะก็ควรเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลยนะคะ เพื่อถนอมดวงตาให้อยู่คู่กับเราไปนานๆ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วแสงแดดอาจทำลายดวงตาของคุณให้เสื่อมสภาพลงไปทุกวันๆ จนในที่สุดคุณก็จะมีปัญหากับดวงตานั่นเอง

เมื่อมีทั้งถุงใต้ตาและรอยคล้ำควรทำอย่างไร

มีทั้งถุงใต้ตา และรอยคล้ำ
หากคุณมีปัญหาทั้งในเรื่องถุงใต้ตา และรอยหมองคล้ำใต้ตา นอกจากการแต่งหน้าเพื่อปกปิดริ้วรอย และความพกพร่องของดวงตาแล้ว คุณจะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร
เมื่อพบว่าตัวเองเริ่มมีปัญหาถุงใต้ตา และรอยคล้ำเกิดขึ้น สิ่งที่คุณมักจะนึกถึงอยู่เสมอนั่นก็คือ การแต่งหน้าเพื่อช่วยปกปิดริ้วรอย นานวันเข้าปัญหาเหล่านี้ก็ไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง สุดท้ายก็สะสมเป็นเวลานาน จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ยากจะแก้ไข เช่น ริ้วรอยแห่งวัยมาเยือนเร็วกว่าปกติ ใต้ตาคล้ำจนกลายเป็นหมีแพนด้า สร้างความกังวลใจให้กับคุณไม่ใช่น้อย เมื่อพบว่าตนเองต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าวควรรีบแก้ไขด้วยการใช้ถุงชาที่ผ่านการชงแล้วนำไปแช่เย็นจัดๆ มาประคบไว้บริเวณดวงตา เพื่อบรรเทาอาการคล้ำ พร้อมกันนี้นอนยกขาให้สูง ทิ้งไว้จนถุงชาหมดความเย็น จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง คุณสมบัติของกากชาจะช่วยแก้ปัญหาถึงใต้ตาและความหมองคล้ำได้ดี จากนั้นก่อนนอนเป็นประจำทุกคืน ควรทาด้วยอายครีม เพื่อเป็นการดูแลผิวรอบดวงตา อีกทั้งไม่ควรนอนดึก และจะต้องพักผ่อนให้เพียงพอด้วย เพื่อป้องกันไม่ใช้เกิดปัญหารอยคล้ำและถุงใต้ตาอีก
คงไม่มีใครอยากจะมีรอยคล้ำใต้ตาเป็นหมีแพนด้าใช่ไหมล่ะ หากคุณจำเป็นต้องนอนดึก หรืออยู่ในช่วงที่พักผ่อนไม่เพียงพอ แนะนำให้ลองเอาสูตรนี้ไปใช้ดูแลดวงตาคู่สวยของคุณดูสิคะ รับรองว่าดวงตาคู่สวยเคยเคยหมองคล้ำก็จะกลับมาสดชื่นและสดใสอีกครั้งหนึ่ง

มีเคล็ดลับวิธีกระชับรูขุมขนมาบอก

กระชับรูขุมขน
หากความฝันของใครหลายๆคนคือการมีผิวหน้าที่เนียนละเอียดและรูขุมขนที่กระชับล่ะก็ จะมีวิธีการใดบ้างที่ทำให้ฝันของคุณนั้นเป็นจริงได้  เราจึงมีเคล็ดลับในการกระชับรูขุมขนมาบอกกันคะ
1.หมั่นรักษาความสะอาดใบหน้าอยู่เสมอ โดยเฉพาะการกำจัดน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้าและสิ่งสกปรกที่คอยอุดตันบริเวณรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวและรูขุมขนกว้างแนะนำให้ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น เพื่อชำระล้างเชื้อโรคและสิ่งสกปรกออก เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำให้ผิวหน้าแห้งตึง เพื่อช่วยทำให้รูขุมขนกระชับยิ่งขึ้น
2. สครับผิว การสครับผิวจะช่วยให้รูขุมขนสะอาดได้อย่างล้ำลึก แต่ควรทำเพียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป นอกจากนี้การสครับยังลดอัตราการเกิดรูชุมชนอุดตันได้อีกด้วย แม้การทำสครับจะมีข้อดีอยู่บ้างแต่ก็ไม่ควรทำบ่อย เพราะอาจส่งผลเสียกับผิวหน้าได้นอกจากการทำสครับแล้ว การมาส์กหน้าก็ยังสามารถช่วยกระชุบรูขุมขนได้อีกด้วย แต่ไม่ควรทำบ่อย เพราะจะทำให้ผิวหน้าแห้งการมาส์กหน้าด้วยไข่ขาวสามารถช่วยลดความกว้างของรูขุมขนลงได้ เพียงใช้ไข่ขาวทาบริเวณใบหน้าหรือบริเวณที่มีสิวเสี้ยน จากนั้นใช้กระดาษเช็ดหน้าแปะทับรีดให้เรียบ ทิ้งไว้แล้วลอกออกก็เป็นอันสำเร็จแล้ว
3. ใช้ครีมกระชับรูขุมขน เพื่อกระชับรูขุมขนให้เล็กลง เลือกชนิดที่บางเบาหรือชนิดเจล เพื่อให้สามารถซึมซาบเข้าสู่เซลล์ผิวได้ง่าย
อย่าลืมนะคะว่าผิวหน้าที่มีรูขุมขนกว้างมักมีสิ่งสกปรกอุดตันง่าย และยิ่งจะทำให้หน้าไม่เนียนนุ่มอีกด้วย ดังนั้น การล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์ชนิดออยล์ฟรี (oil free) แล้วทาผิวหน้าด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ก็สามารถช่วยให้ผิวหน้าดูกระชับลงได้แล้วล่ะคะ

วิธีรักษาโรคหัวใจด้วยผัก และ ผลไม้

        หัวใจนั้นถือเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญกับร่างกายของเรามากที่สุดในแต่ล่ะวันนั้นหัวใจเราเต้นถึงประมาณวันล่ะหนึ่งแสนครั้งต่อวันนั่นถือเป็นอัตราการเต้นของหัวใจที่ปกติถ้าหัวใจของเรานั้นเต้นน้อยกว่านี้นั่นอาจจะเป็นสัญญาณบอกถึงอันตรายร้ายแรงเนื่องจากหัวใจนั้นเป็นส่วนหลักที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายของเราในแต่ล่ะวันนั้นหัวใจมีหน้าที่สูบฉีดเลือดและนำอ๊อกซิเจนไปเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายของเรามากถึงวันล่ะ 2,000 แกลลอน เลยทีเดียวดังนั้นหัวใจจึงถือว่ามีความความสำคัญต่อร่างกายของเรามากที่สุด สำหรับใครที่ยังไม่ทราบว่าตัวเองนั้นเป็นโรคหัวใจหรือเปล่าแนะนำให้คุณลองสังเกตอาการเหล่านี้ดูให้ดี ร่างกายรู้สึกเหนื่อยล้าง่ายๆ เช่นเวลาที่คุณออกกำลังกายเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกเหนื่อยจนแทบจะหน้ามืดแล้ว คนที่เป็นโรคหัวใจโดยส่วนมากมักจะมีอาการเจ็บ และ รู้สึกแน่นที่หน้าอกเหมือนกับว่ามีของหนักๆ มาทับที่บริเวณหน้าอกของคุณเอง มีอาการหัวใจล้มเหลว เช่น เวลานั่งอยู่เหนื่อยล้าอึดอัดเหมือนหายใจไม่ค่อยออกเวลานอนมีอาการหายใจไม่ออกจนบางครั้งอาจจะต้องนั่งหลับซึ่งเกิดจากหัวใจของคุณนั้นเต้นผิดปกตินั่นเอง นี่เป็นแค่อาการส่วนหนึ่งของคนที่ป่วยเป็นโรคหัวใจเท่านั้นถ้าคุณเริ่มมีอาการแปลกๆ หรือรู้สึกว่าหัวใจของคุณนั้นเต้นผิดปกติแนะนำให้คุณลองไปให้คุณหมอตรวจดูน่าจะดีกว่าค่ะก่อนที่จะเป็นอะไรหนักไปกว่านี้ สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจนั้นเกิดจากการขาดแร่ธาตุโปแตสเซียมทำให้เลือดในร่างกายของเรานั้นสูบฉีดมาหล่อเลี้ยงหัวใจของเราไม่เพียงพอนั่นเอง ดังนั้นคุณควรที่จะรับประทานผัก และ ผลไม้ ที่มีโปแตสเซียมสูง ดังนี้ มะเขือเทศ กล้วย ส้ม สับปะรด ใบโหระพา เกสรดอกไม้ ข้าวโพด รากบัว ผักกวางตุ้ง เก๊กฮวย ใบเตย ผักชี ถั่วแดง ซึ่งผักและผลไม้เหล่านี้ล้วนมีโปแตสเซียมสูงทั้งนั้นซึ่งจำเป็นมากๆ ต่อหัวใจของเราเองเป็นอย่างมาก และ ที่สำคัญคุณควรที่จะทราบเอาไว้ด้วยว่ามีอาหารบางประเภทที่ไม่เหมาะที่จะรับประทานอย่างยิ่งเพราะจะเกิดผลเสียต่อร่างกายของเราเอง ของหมักดอง ข้าวเหนียว เต้าหู้ เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ทุกชนิด รวมถึงพวกถั่วทุกชนิดยกเว้นเพียงถั่วแดงอย่างเดียวเท่านั้นที่ไม่เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ

        ดังนั้นใครที่กลัวหรือคิดว่าหัวใจของคุณนั้นเริ่มผิดปกติรีบไปให้หมอตรวจ และ ควรที่จะรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราพวกอาหารของขวานขนมที่มีความมันเยอะๆ ไม่ควรที่จะรับประทานบ่อยเพราะไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายของคุณเองอย่างแรงและอาจจะนำไปสู่โรคเบาหวานได้อีกด้วย บางท่านอาจจะสงสัยว่าการรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำนั้นมันสามารถที่จะช่วยเราจากโรคหัวใจ และ โรคต่างๆ ได้จริงหรือจริงๆ แล้วผัก และ ผลไม้ นั้นมีประโยชน์มากมายและช่วยเราจากโรคต่างๆ ได้จริงๆ เนื่องจากมีทั้งประโยชน์ และ มีวิตามินนานาชนิดที่มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบต่างๆ ภายในร่างกายของเราได้จริงๆ ตามที่บอกไปเบื้องต้นค่ะ นอกจากนี้การออกกำลังกายก็ยังมีส่วนช่วยในการทำให้ร่างกายของคุณนั้นแข็งแรงและมีภูมิคุ้มกันในการป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้อีกด้วยคุณไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายแบบหักโหมแต่ออกกำลังกายวันล่ะประมาณ 15-30 นาที เพื่อให้สุขภาพและร่างกายของคุณนั้นเกิดความแข็งแรงขึ้นและควรที่จะหมั่นดื่มน้ำเปล่าบ่อยๆ เพื่อล้างพิษออกจากร่างกายด้วย นอนและพักผ่อนให้เพียงพอหมั่นทำจิตใจให้สงบอย่าเครียดหรือคิดมากจนเกินไปเพราะความเครียดนำไปสู่สภาวะทำให้ร่างกายเกิดความอ่อนแอ และ ความอ่อนล้านั่นเอง

        สุดท้ายนี้ท่านใดที่ป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่แนะนำให้คุณหมั่นรับประทานยาตามที่คุณหมอสั่งและดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของตัวเองให้ดีๆ อย่าคิดมากจนความดันขึ้นนะค่ะเพราะอาจจะทำให้หัวใจของคุณนั้นเกิดความอ่อนหล้าซึ่งอาจจะทำให้หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้

วิธีดูแลตัวเองจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดด้วย ผัก และ ผลไม้

        ดูแลตัวเองจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดด้วย ผัก และ ผลไม้

       

โดยส่วนมากโรคนี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ตกอยู่ในภาวะขาดแร่ธาตุโปแตสเซียมโดยส่วนใหญ่ถือเป็นปัจจัยหลักเลยก็ว่าได้ที่ทำให้เลือดของเรานั้นถ่ายออกมาเลี้ยงกล้ามเนื้อที่บริเวณหัวใจของเราได้ไม่เพียงพอนั่นเองถือเป็นเรื่องใหญ่นะค่ะเพราะถ้าเราเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจะเกิดภาวะผิดปกติขึ้นกับร่างกายของเรามากมายเลยทีเดียวคนที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจะมีอาการเจ็บเกิดขึ้นที่บริเวณหัวใจ และ บริเวณลิ้นปี่ซึ่งในระยะแรกนั้นจะมีอาการปวดจี๊ดๆ ขึ้นมาเฉียบพลัน หรือ ในบางรายอาจจะมีอาการปวดแถวบริเวณช่วงลำคอ มีอาการเหงื่อท่วมตัวเวลานอนหรืออาจจะมีเหงื่ออกที่มือบ่อยๆ ถ้าใครเริ่มมีอาการแปลกๆ แนะนำให้คุณลองเข้ารับการตรวจร่างกายกับคุณหมอดูเพื่อความปลอดภัยนค่ะไม่ควรที่จะปล่อยไปนะค่ะเพราะถ้าเป็นนานวันเข้าอาการอาจจะหนักขึ้นได้ค่ะถ้าคุณไม่ดูแลรักษาตัวเองอย่างถูกวิธีและนอกจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจจะทำให้เรารู้สึกทรมานแล้วยังอาจจะทำให้มีผลกระทบกับชีวิตประจำวันของคุณเองอีกด้วยเพราะคนส่วนมากที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีอาการเครียดบ่อยๆ จนบางครั้งวิตกกังวนเกินไปซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้มีปัญหาต่อการเข้าสังคมเป็นอย่างมากเพราะคุณจะหงุดหงิดโมโหได้ง่ายๆ บางครั้งไม่มีเหตุผลเลยด้วยซ้ำ และ โรคนี้ยังมีอันตรายถึงชีวิตอีกด้วยเช่นบางครั้งผู้ป่วยโรคนี้อาจจะไหลตายเอาได้ง่ายๆ โดยส่วนมากมักจะเกิดขึ้นเมื่อเลือดภายในร่างกายของเรานั้นไปหล่อเลี้ยงร่างกายของเราไม่ทันนั่นเองดังนั้นวิธีแก้ปัญหาที่คุณควรที่จะแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุนั่นคือคุณควรที่จะรับประทานผักและผลไม้ที่มีโปแตสเซียมประกอบเพื่อรักษาหรือเรียกอีกอย่างว่าบำบัดรักษาตัวเองจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดนั่นเอง แต่ว่ายังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่อาจจะทำให้คุณเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดคือคุณมีปริมาณไขมันในเส้นเลือดมากจนไปอุดตันระบบเลือดของคุณเองซึ่งอาจจะนำคุณไปสู่อีกโรคคือโรคลิ้นหัวใจรั่วลิ่มเลือดของคุณจะเข้าไปอุดตันทำให้เลือดของคุณนั้นไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้ไม่ดีดังนั้นใครที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดคุณควรที่จะเริ่มดูแลรักษาสุขภาพของตัวคุณเองด้วยการรับประทานผักที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของคุณ และ ผลไม้ ดังนี้
        ผัก และ ผลไม้ บำบัดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด


        1.มะเขือเทศ ใช่ค่ะการรับประทานมะเขือเทศสดๆ ลูกสีแดงๆ นี่แหละค่ะที่สามารถช่วยบำบัดและรักษาเราได้ส่วนใครที่ไม่ค่อยชอบกินมะเขือเทศเพราะมีรสเปรี้ยวล่ะก็นำมาประกอบเป็นอาหารแล้วค่อยรับประทานก็ได้ค่ะจะได้ทานได้ง่ายขึ้น
        2.กล้วย ถือว่าเป็นผลไม้ที่ทั้งมีประโยชน์และอุดมไปด้วยวิตามินจำนวนมากดังนั้นเราจะสังเกตเห็นได้จากทารกแรกเกิดที่แม่มักจะบดกล้วยให้เด็กทารกรับประทานเนื่องจากมีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก

ใช้แตงกวากับมันฝรั่งบำรุงฟื้นฟูผิวรอบดวงตาได้ผลดี

แตงกวา มันฝรั่ง และดวงตา
แตงกวาและมันฝรั่งเป็นพืชที่สามารถใช้บำรุงและฟื้นฟูผิวรอบดวงตาได้มากๆ เช่น ลดรอยหมองคล้ำใต้ดวงตา และชื้นความชุ่มชื้นให้กับผิวสวยของคุณ เป็นต้น ทั้งแตงกวาและมันฝรั่งก็สามารถทำได้ค่อนข้างดี ไม่ต่างกับพืชและผักชนิดอื่นๆ

เคล็ดลับในการใช้แตงกวาดูแลผิวรอบดวงตา ทำได้โดยหั่นแตงกวาบางๆ แล้วนำไปแช่เย็นนำมาแตงกวาที่เย็นจัดมาวางไว้ที่บริเวณรอบดวงตา และใบหน้าจะช่วยทำให้รอบหมองคล้ำใต้ตาหายไป ที่สำคัญยังทำให้ผิวสดชื่นขึ้นด้วย นอกเหนือจากนี้อาจนำแตงกวามาปั่นเอาแต่น้ำ ใช้สำลีหรือผ้าขนหนูชุบน้ำแตงกวาที่ได้ให้ชุ่มนำมาปิดตาไว้ 15 – 20 นาที วิธีนี้ก็จะช่วยลดริ้วรอยและอาการตาบวมแดงได้เช่นเดียวกัน

สำหรับมันฝรั่งนั้น สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาจุดบกพร่องของดวงตาได้ โดยนำมันฝรั่งขนาดเหมาะมือ ล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อยหั่นเป็นชิ้นบางๆ นำไปแช่เย็นจัด จากนั้นจึงนำออกมาวางปิดไว้ที่บริเวณรอบดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที ทำเช่นนี้เช้าและเย็น จะช่วยลดรอยหมองคล้ำใต้ตาให้ลดลงได้ หลังจากที่เอามันฝรั่งออกก็อย่าลืม ล้างทำความสะอาดใบหน้า แล้วบำรุงผิวใต้ตาด้วยอายครีมอีกครั้ง เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะคะ

สูตรการใช้แตงกวาน่าจะเหมาะกับผู้ที่มีปัญหารอยหมองคล้ำใต้ตา แต่สำหรับมันฝรั่งจะได้ผลมากกว่ากับผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตา หากคุณมีปัญหาใดปัญหาหนึ่งก็ลองนำเคล็ดลับที่นำมาฝากกันนี้ไปใช้ดูนะคะ

มารู้จักผิวพรรณของคุณและวิธีดูแลผิวให้ชุ่มชื่นสดใสอยู่เสมอ

รู้จักผิวพรรณของคุณดีแล้วหรือยัง
ก่อนจะดูและผิดพรรณทั่วเรือนร่างให้สวยใส เราควรจะมาทำความรู้จักกับลักษณะของผิดคนเราให้ถ่องแท้ก่อนดีกว่า  เพราะผิวแต่ละประเภทนั้น ต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน
ผิวพรรณคนเรานั้นถ้าแบ่งตามหลักใหญ่ๆ ก็จะมี 5 ประเภท คือ ลองสังเกตดูว่าผิวของคุณตรงกับคุณลักษณะของผิวประเภทใด เพื่อจะได้เลือกสรรการดูแลได้อย่างถูกต้องในลำดับต่อไป
1. ผิวมัน ลักษณะของผิวมันคือผิวที่มีรูขุมขนค่อนข้างใหญ่ พื้นผิวมีความมันเยิ้มง่าย เพราะต่อมน้ำมันใต้ผิวหนังทำงานมากจนเกินระดับปกติ แทนที่จะมีความชุ่มชื้นกำลังดี แต่กลับมีมากจนเกินไป เป็นเหตุให้เกิดเหงื่อผุดซึมง่ายและเกิดสิวง่าย คนผิวมันส่วนใหญ่จะมีลัษณะของเส้นผมที่มันด้วย หนังศีระษะจังเกิดรังแคง่าย คนผิวมันจะไม่ค่อยมีริ้วรอย และการลอกแห้งเป็นขุยๆ ที่ใบหน้า แต่ก็เกิดสิวง่ายและแต่งหน้ายาก
2. ผิวแห้ง ผิวที่มีความแห้งมากกว่าปกติ จะเป็นลักษณะของผิวที่ขาดความชุ่มชื้น จึงเป็นขุยๆ ได้ง่ายที่ใบหน้า มีลักษณะของริ้วรอยหรือมีความแห้ง-การลอกได้ง่าย ผิวกายหรือที่แขนขาก็พลอยมีอาการตึงแห้งและกร้านได้ง่ายๆ เวลาไปตากตรำกับลมและแดด หรือแม้กระทั่งเวลาอยู่ในห้องแอร์นานๆ
ผิวแห้งจะขาดความชุ่มชื้นและความเปล่งปลั่งเต่งตึง  เพราะต่อมน้ำมันขาดประสิทธิภาพในการทำงาน ผิวจึงดูเหมือนขาดน้ำมาหล่อเลี้ยงให้ดูผุดผาดตามที่ควรจะเป็น
3. ผิวผสม คนที่มีผิวผสมใช่ว่าจะดีกว่าผิวมันและผิวแห้ง เพราะผิวก็มีจุดบกพร่อง และต้องการการดูแลทะนุบำรุงอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกันเนื่องจากการที่มีทั้งคุณลักษณะของผิวมันและผิวแห้งรวมอยู่ด้วยกันใบหน้าจึงมีทั้งบริเวณที่แห้งตึงง่าย และมีทั้งบริเวณที่เป็นมันง่าย ส่วนที่มีความมันเยิ้มง่ายก็คือจุดทีโซน(T-Zone) คือบริเวณหน้าผาก โหนกแก้มทั้ง 2 ข้าง จมูก และคาง
4. ผิวธรรมดา ลักษณะของผิวธรรมดาเป็นผิวที่น่าพอใจ และไร้ปัญหาที่สุดเพราะเป็นผิวที่มีความชุ่มชื้นกำลังดี ไม่มันเยิ้มง่าย และไม่แห้งกร้านง่ายจนเกินไป เนื้อผิวมีความเปล่งปลั่งชุ่มชื้น และไม่เกิดปัญหาง่ายสัมผัสดูจะรู้สึกได้ว่ามีความเรียบเนียนได้เกิดสิวง่าย ไม่เป็นขุยๆ หรือรู้สึกแห้งตึงจนเกินไป
5. ผิวเสีย ลักษณะของผิวเสียนั้นไม่ใช่ลักษณะถาวรของคนเรา เพราะคนที่มีผิวมัน ผิวแห้ง ผิวผสม ก็อาจประสบกับภาวะผิวเสียได้ในบางช่วง เช่นเวลาไปทะเลนานๆ หลายวันแล้วไม่ได้มีการบำรุงและป้องกันที่ดี ก็จะเกิดผิวเสียไปได้เนิ่นนานเหมือนกัน ผิวเสียมีลักษณะหลายอย่าง อาจจะเกิดฝ้า เช่น จุดกระ จุดด่างดำ หรืออาจจะเป็นสิวอักเสบเรื้อรังในบริเวณกว้าง เป็นต้น
ผิวที่มีความมันเยิ้มหรือแห้งการ้านจนเกินไป ถือได้ว่าเป็นลักษณะของผิวเสีย  ผิวเช่นนี้จะมีปัญหาหลายอย่าง ดูแล้วมีริ้วรอย มีความหมองคล้ำไม่สดใส  เนื้อผิวไม่เรียบ ไม่นุ่มนวล ถ้ามีอาการดังกล่าวมานี้ ก็ต้องรีบดูแลฟื้นฟูผิวเป็นการด่วน เพราะสภาพผิวเสียก็สามารถกลับคืนสู่ผิวที่ดีและมีความสวยใสได้อย่างแน่นอน
การดูแลผิวแต่ละประเภท
1. ผิวมัน
- ล้างหน้าระหว่างวันสัก 1-2 ครั้ง ล้างน้ำเปล่าก็ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้โฟมหรือสบู่ล้างหน้า
- ก่อนนอนอาจใช้น้ำแตงกวาคั้นสดล้างหน้าบ้างก็ได้ แต่โฟมล้านหน้าในตอนเช้าที่ใช้เป็นประจำ ควรเป็นชนิดที่ระบุว่าใช้กับผิวมันโดยเฉพาะ
- สบู่หรือครีมอาบน้ำก็ควรเลือกชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ หรืออุดมด้วยครีมต่างๆ มากนัก
- ควรมี “โทเนอร์” หรือ”เอสตรินเจนต์” เช็ดใบหน้าเพื่อขจัดคราบน้ำมัน
- การเลือกครีมบำรุงควรเป็นชนิด “light” ที่มีเนื้อครีมบางเบาซึมซาบและแห้งง่าย
- ครีมรองพื้นและแป้งแต่งหน้าให้เลือกแบบ “oil free” ที่ใช้ลดความมัน อายแชโดว์และบลัชออนปัดแก้มให้ใช้แบบฝุ่นจะดีกว่าแบบครีม
- ทุกสัปดาห์ควรพอกหน้าด้วยสูตรธรรมชาติที่เหมาะกับผิวมันโดยเฉพาะ
2. ผิวแห้ง
- คนที่มีผิวแห้งไม่ต้องล้างหน้าบ่อยๆ ตอนเช้าบางวัน อาจใช้มนเปรี้ยวล้างหน้าบ้างก็ได้
- หลังล้างหน้าไม่จำเป้ฯต้องใช้โทเนอร์ชนิดเอสตินเจนต์ แต่ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ชนิดเข้มข้น เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้า ก่อนเข้านอนก็ควรใช้ครีมบำรุงผิวหน้าที่ระบุว่าใช้เฉพาะยามค่ำคืนด้วย เพื่อให้ตื่น่ขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าที่นวลนุ่มชุ่มชื้น
- ส่วนผิวกายก็ตอ้งเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดุดมไปด้วยครีมบำรุงเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นครีมอาบน้ำหรือครีมทาผิวกาย
- อย่าลืมพอกหน้าสัปดาห์ละครั้งด้วยสูตรธรรมชาติ ที่ระบุว่าเหมาะสมกับคนผิวแห้ง
- เวลาแต่งหน้าให้เลือกบลัชออนชนิดครีม การเลือกรองพื้นและแป้งก็ต้องเลือกชนิดที่เหมาะกับผิวแห้ง มิฉะนั้นใบหน้าจะเป็นขุยได้ง่าย
3. ผิวผสม
- สำหรับผิวผสมนั้นไม่จำเป็นต้องใช้สบู่ล้างหน้าที่แรงนัก อาจใช้ชนิดอ่อนๆ สำหรับเด็กก็ได้ เวลาจะใช้โทเนอร์เช็ดหน้าหรือจะลงรองพื้น ก็ไม่จำเป็นต้องทาทั้งหน้า ให้แต้มที่บางจุดก็เพียงพอแล้ว โดยโทเนอร์ให้เช็ดบริเวณทีโซน ส่วนรองพื้นก็แต้มบริเวณส่วนที่ค่อนข้างแห้งก็ได้
- ใช้มอยส์เจอไรเซอร์กับผิวกายเฉพาะบริเวณที่ค่อนข้างแห้ง ไม่ต้องชโลมทั่วตัว เลือกใช้ครีมชนิดบางเบา เพื่อจะใช้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะผิวแห้งหรือผิวมัน
- แตะครีมบำรุงแต้มใบหน้าบ้างในเวลาก่อนนอน โดยเลือกเฉพาะบริเวณที่มีผิวค่อนข้างแห้งเท่านั้น

4. ผิวแพ้ง่าย
- สำหรับผิวแพ้ง่ายนั้นจำเป็นต้องระวังค่อนข้างมาก ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดอ่อนๆ และควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องผิวโดยตรง
- เวลาจะออกไปตากแดดตากลมก็ควรใช้ครีมกันแดดทาปกป้องผิวเสมอ ควรเลือกใช้เครื่องสำอางต่างๆ ต้องพิถีพิถันและระมัดระวังมาก ปัจจุบันมีหลายผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าเหมาะสำหรับผิวแพ้ง่ายด้วย
5. ผิวเสีย
- ระหว่างที่ผิวเสียต้องปรึกษาแพทย์เพื่อการเลือกผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้เหมาะสม
- การจะใช้ครีมบำรุงหรือสบู่ล้างหน้าก็ควรเลือกอย่างอ่อนๆ ส่วนเครื่องสำอางหรือการแต่งหน้าต่างๆ นั้นควรงดโดยเด็ดขาด เพื่อรักษาและฟื้นฟูผิวให้หายดีเสียก่อน
6. ผิดธรรมดา
- แม้จะจัดว่าเป็นผิวที่น่าพอใจแล้ว แต่คุณก็ยังต้องดูแลอย่างเหมาะสมด้วย เช่น หมั่นใช้ครีมบำรุงเพิ่มความชุ่มชื่นที่พอเหมาะให้ผิว และหมั่นพอกหน้าหรือใช้สูตรธรรมชาติต่างๆ บำรุงผิวทั่วเรือนร่างบ้างเพื่อมิให้สภาพของผิวเปลี่ยนไปตามมลภาวะต่างๆ