![]() |
#ยาคุมกำเนิด |
#ยาคุมกำเนิด หรือ #ยาคุมฉุกเฉิน นั้นถือว่าเป็นอีกทางเลือกสำหรับการคุมกำเนิดอันไม่พึงประสงค์ นอกจากการใช้ถุงยางอนามัยหรือการฉีดยา สิ่งที่เราจะต้องทำความเข้าใจก็คือความแตกต่างระหว่างยาคุมฉุกเฉินกับยาคุมกำเนิดและผลข้างเคียงของยาทั้งสองชนิดนี้ให้เข้าใจ เพราะดูเหมือนว่าในปัจจุบันผู้คนมักจะหันมารับประทานยาเหล่านี้กันมากขึ้น โดยที่ไม่ศึกษาถึงความเสี่ยงและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับร่างกาย
#สำหรับยาคุมกำเนิด ที่ใช้ในการรับประทาน จะเป็นยาที่มีคุณสมบัติในการป้องกัน
การเกิดการตกไข่ ประกอบด้วยสารเคมีที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาให้ทำหน้าที่คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เมื่อผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดรับประทานยาตัวนี้เข้าไปแล้ว ตัวยาจะไปทำหน้าที่ในการยับยั้งการสร้างฮอร์โมนและต่อมใต้สมองไม่ให้มีการผลิตฮอร์โมนที่จะเข้าไปกระตุ้นการตกไข่ นอกจากตัวยาจะเข้าไปทำหน้าที่ในการกระตุ้นส่วนของสมองแล้ว มันยังส่งผลกับตัวมูกที่อยู่ที่ปากมดลูกเหนียวมากขึ้น ส่งผลให้ตัวอสุจิเคลื่อนที่เข้าไปยังมดลูกได้ยากขึ้น และยังทำให้ตัวของผนังมดลูกบางลง ลดอัตราการฝังตัวของตัวอ่อนเมื่อมีการให้ยาคุมไประยะเวลาหนึ่ง สำหรับการทำงานของตัวยาคุมกำเนิดจะออกฤทธิ์ได้นานสุดประมาณ 7 วัน ตั้งแต่วันแรกของการรับประทานยา วิธีรับประทานให้ได้ประสิทธิภาพควรที่จะรับประทานภายใน 5 วันของการมีประจำเดือน โดยนับตั้งแต่วันแรกที่มีรอบเดือน จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการป้องกันไข่ตกได้มากขึ้น ผลข้างเคียงของการรับประทานยาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ก็คือ ความผิดปกติของไขมันในเส้นเลือด มีฤทธิ์ในการทำลายตับ กระตุ้นให้เกิดมะเร็งปากมดลูก รวมไปถึงเนื้องอกในมดลูกและเต้านม เมื่อรับประทานติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ
#ส่วนยาคุมกำเนิดชนิดฉุกเฉิน ส่วนประกอบของตัวยาจะคล้ายกันกับยาคุมกำเนิด การรับประทานจะให้รับประทานก่อนหรือหลังมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 12 ชั่วโมง ไม่ควรเกินกว่านั้น 2 ครั้ง โดยแต่ละเม็ดให้ทิ้งระยะห่างการรับประทาน 12 ชั่วโมง ความแตกต่างของยาคุมกำเนิดฉุกเฉินก็คือปริมาณของส่วนประกอบตัวยาที่สังเคราะห์ขึ้นมานั้นมีปริมาณความเข้มข้นสูงกว่า จึงทำให้สามารถที่จะไประงับการตกไข่ได้เร็วกว่า แต่ทว่าประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินนั้นไม่สามารถป้องกันการคุมกำเนิดได้ 100% และยังมีผลข้างเคียงที่อาจจะทำให้รู้สึกวิงเวียนศีรษะ และเลือดออกผิดปกติได้
การรับประทานยาคุมกำเนิดทั้งสองชนิดนั้น เมื่อรับประทานบ่อยครั้งจะส่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่าการฉีดยาคุม เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งและความผิดปกติของรอบเดือน เมื่อใช้ไปเป็นระยะเวลานานๆอาจจะทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก ดังนั้นการใช้ยาคุมทุกชนิดจะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ และได้รับคำแนะนำในการใช้อย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาในอนาคต
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น