![]() |
ปวดหัวไมเกรน |
ในยุคของสังคมที่บีบเค้นให้ผู้คนได้รับความกดดันที่ส่งผลให้เกิดปัญหาความเครียดที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น หนึ่งในโรคยอดฮิตของออฟฟิศซินโดรมก็คือ “#ไมเกรน” ที่จะทำให้เรารู้สึก #ปวดศีรษะ และมักมีอาการเป็นๆหายๆตามเหตุและปัจจัยที่เข้าไปกระตุ้น แน่นอนว่าเมื่ออาการกำเริบขึ้นมาก็ย่อมที่จะส่งผลต่อชีวิตการทำงานหรือวิถีชีวิตจองเราได้โดยตรง
ไมเกรนเกิดจากภาวะความผิดปกติของระบบประสาทบริเวณหลอดเลือดแดงที่เข้าไปเลี้ยงสมอง และเมื่อเป็นแล้วก็ถือว่าเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถที่จะรักษาให้หายขาดได้ นอกจากที่จะใช้วิธีการป้องกันไม่ให้อาการกำเริบขึ้นมาเท่านั้น อาการของไมเกรนเมื่อกำเริบขึ้นมาจะมีอาการปวดหัวเป็นระยะๆ เป็นๆหายๆ ปวดข้างใดข้างหนึ่ง ลักษณะการปวดจะคล้ายกับชีพจรที่กำลังเต้น ซึ่งในบางรายมีอาการปวดมากและรุนแรงจนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ โดยทั่วไปที่เราสามารถสังเกตได้ว่าอาการปวดที่เกิดขึ้นนั้นมาจากโรคไมเกรน จะมีอาการปวดบริเวณหน้าผาก ขมับ หรือขากรรไกร อาจจะมีอาการคลื่นไส้เวียนศีรษะร่วมด้วย ความสามารถในการมองเห็นของผู้ป่วยบางรายยังลดลง เกิดอาการตาพร่ามัว หรือไม่สามารถที่จะจ้องมองแสงสว่างจ้าได้ เพราะจะยิ่งไปเพิ่มอาการปวดให้มากขึ้น อาการปวดที่เกิดขึ้นจะคงอยู่ประมาณ 2-3ชั่วโมง หรือมากกว่านั้นในบางราย และพบมากในผู้ป่วยที่เป็นเพศหญิง
สาเหตุหลักของการเกิดไมเกรนก็คือความเครียดที่เป็นต้นเหตุสูงถึง 80% และแม้ว่าจะมีสาเหตุอื่นๆร่วมด้วย แต่ก็ยังไม่แน่ชัดว่าสิ่งใดเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคนี้ สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคไมเกรนแล้ว จำเป็นที่จะต้องพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยที่จะส่งผลให้อาการกำเริบ โดยวิธีการหลีกเลี่ยงการนอนหลับที่ไม่ตรงเวลา นอนหลับให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป พยายามรับประทานอาหารให้เป็นเวลา โดยเฉพาะอาหารเช้าที่เป็นมื้อสำคัญ และหันมารับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสภาพอากาศที่ร้อน แสงแดดจ้า กลิ่นหรือควันที่เป็นพิษหรือฉุนจนเกินไป รวมไปถึงอาหารที่มีการปรุงแต่งทางเคมี โดยเฉาะผลชูรสและสารกันบูด สำหรับผู้ที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆก็ควรพักสายตาบ้างเป็นระยะๆ ลุกยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย ที่สำคัญพยายามอย่าทำให้ร่างกายเกิดความเครียดซึ่งเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีที่จะทำให้อาการกำเริบขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
การรักษาไมเกรนนั้น นอกจากการใช้ยาเมื่อจำเป็นแล้ว การดูแลตนเองและหลีกเลี่ยงต้นเหตุอันเป็นตัวกระตุ้นจะช่วยทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ดีขึ้น อาการปวดที่เคยเป็นก็จะลดความถี่ลง สามารถที่จะกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้นได้
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น