สมาธิถือว่าเป็นศาสตร์ความเชื่ออย่างหนึ่งที่จะช่วยทำให้จิตใจของเรามีความสงบ ใจเย็นและรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ในอดีตสมาธิยังคงถูกจัดอยู่ในความเชื่อทางไสยศาสตร์ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลี้ลับ แต่ในยุคปัจจุบันการทำสมาธิได้มีความเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น เป็นหนึ่งในกระบวนการที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าทำให้สมองเกิดการเปลี่ยนแปลง
ทั้งในด้านความคิด ความจำ และอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ
หากเราตัดเรื่องราวของสมาธิที่ดูซับซ้อนและเหมือนจะเข้าถึงได้ยากในทางพุทธศาสนาหรือทางความเชื่อลี้ลับออกไป การทำสมาธิได้รับการศึกษาและวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ทางระบบประสาท เป็นวิชาที่ได้รับความสนใจมากขึ้นในปัจจุบันโดยเฉพาะในทางการแพทย์ เราเริ่มที่จะใส่ใจในกระบวนการทำงานของสมองที่มีผลต่ออารมณ์ความรู้สึก สุข เศร้า เหงา ผิดหวัง เสียใจ หรือแม้กระทั่งความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดขึ้น และดูเหมือนว่าเรื่องราวเหล่านี้ดูจะมีความซับซ้อนในการทำความเข้าใจให้ลึกซึ้ง การทำงานของระบบสมองยังคงเป็นเรื่องที่ลึกลับยากที่นักวิทยาศาสตร์จะสามารถไขปริศนาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
หนึ่งในการวิจัยที่น่าสนใจต้องยกให้เป็นของ ศาสตราจารย์ริชาร์ด เดวิดสัน ที่ทำการศึกษาความเกี่ยวเนื่องของอารมณ์ความรู้สึกกับระบบประสาท ในอดีตนักวิทยาศาสตร์มีความเชื่อว่าตัวของเซลล์สมองนั้นจะค่อยๆเติบโตขึ้นตามอายุ จนสมบูรณ์แบบในช่วงของวัยหนุ่มสาว ก่อนจะค่อยๆเสื่อมสลายลงไปในช่วงของความแก่ชรา และไม่มีการแบ่งตัวเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นเมื่อเซลล์สมองตายลงก็จะเหลือเพียงเซลล์เดิมที่ยังคงอยู่ ไม่มีการซ่อมแซมหรือทดแทนเซลล์ที่สูญเสียไปแต่อย่างใด ดร.เดวิดสันได้ทำการศึกษาจากพระธิเบตที่ผ่านการทำสมาธิมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 30 ปีติดต่อกัน และพบว่าเซลล์สมองมีการเพิ่มตัวมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณสมองส่วนหน้า คลื่นสมองมีการทำงานที่ดีขึ้น มีความสม่ำเสมอ คลื่นสมองเหล่านี้นั้นจะสามารถพบได้ในผู้ที่มีการทำสมาธิอย่างต่อเนื่องและมีสมาธิจัดอยู่ในสมาธิขั้นสูงแล้ว และหลังจากนั้นก็ได้มีการทดลองกับอาสาสมัคร ให้นั่งสมาธิวันละประมาณครึ่งชั่วโมงทุกเช้าเย็น ตลอดระยะเวลาสามเดือน เมื่อทำการตรวจสมองเหล่าอาสาสมัครเหล่านี้ พบว่าตัวสมองมีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกันกับพระธิเบต ทำให้ทฤษฎีความเชื่อที่ว่าสมองไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้นั้นถูกลบล้างไป ด้วยความเชื่อใหม่ว่าสมองสามารถที่จะยืดหยุ่นและเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างได้
การทำสมาธิหรือการเจริญสติด้วยวิธีต่างๆตามลักษณะการสอนของครูสมาธิแต่ละสำนัก แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของวิธีการปฏิบัติ แต่เป้าหมายที่ได้นั้นก็คือการที่เรามีจิตใจที่สงบและมีความสุขมากขึ้น การทำสมาธิจึงเป็นกระบวนการที่ช่วยให้สมองได้รับการพัฒนา มีการสร้างเซลล์ใหม่ๆขึ้นมา ส่งผลให้เรากลายเป็นคนที่มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น