วิธีการศึกษาเรียนรู้ ท่องเที่ยว ประสบการณ์ชีวิต ความรู้เคล็ดลับดีๆนำมาเก็บไว้ในบล็อกนี้ อ้อ&ยิ้ม www.oryim.com
ชอบทำหน้าเครียด! ระวังริ้วรอยเต็มหน้า
การทำหน้าเครียด บึ้งตึง นอกจากจะส่งผลเสียต่อบุคลิก ยังทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้เร็วขึ้น เพราะความเครียดมักส่งผลต่ออารมณ์และแสดงออกผ่านทางสีหน้า เช่น หน้านิ่วคิ้วขมวด ปากห่อเป็นต้น เมื่อใดที่พบว่ากำลังตกอยู่ในสภาวะเครียด นอกจากอาการปวดหัวแล้ว ยังรู้สึกได้ตรงบริเวณหัวคิ้ว เนื่องจากความเครียดทำให้คุณต้องขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้รู้สึกปวดบริเวณดังกล่าวได้ง่าย
ใบหน้าที่ต้องคอยเกร็งเพื่อแสดงสีหน้าอยู่ตลอดเวลา นอกจากจะทำให้ไร้เสน่ห์กับผู้พบเห็นแล้ว การทำหน้าบึ้งตึง ขมวดคิ้ว ยังทำให้ริ้วรอยมาเยือนใบหน้าได้อย่างรวดเร็ว วิธีการแก้ไขปัญหาเพื่อป้องกันไม่ใช้เกิดความเครียด สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การนั่งสมาธิ การออกกำลังกาย การพักผ่อนให้เพียงพอ และอื่นๆอีกมากมาย การผ่อนคลายความเครียดจะทำให้ร่างกายและอารมณ์ของคุณรู้สึกสบายยิ่งขึ้น หากพบว่าในขณะนี้ร่างกายของคุณกำลังเผชิญกับความเครียด ก็ควรหากิจกรรมทำ เพื่อเป็นการผ่อนคลายความเครียดที่เกิดขึ้น ให้บรรเทาเบาบางลง อย่าสะสมความเครียดเอาไว้ให้มาก เพราะมันไม่ได้ส่งผลดีต่อคุณ มีแต่ผลเสียที่นอกจากจะเกิดขึ้นกับร่างกายภายในโดยแล้ว ยังแสดงออกมาให้เห็นได้ชัดเจนผ่านทางหน้าตาของคุณอีกด้วย สร้างความรำคาญใจให้กับผู้พบเห็นไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม ความเครียดไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้เกิดริ้วรอยเท่านั้น แต่ความเครียดยังส่งผลกับระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น ระบบไหลเวียนโลหิต การทำงานของหัวใจ เมื่อร่างกายของคุณเกิดความเครียดขึ้น และไม่ได้รับการบำบัดให้หายอาจทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้นะคะ ยังไงก็อย่าลืมเอาใจใส่ไม่ทำให้ตัวเองเครียดอยู่เสมอๆ
เนื้อเพลง Bad Romance Lady gaga แปล
เนื้อเพลง Bad Romance Lady gaga แปลเพลง Bad Romance
Rah-rah-ah-ah-ah!
Mum-mum-mum-mum-mah!
GaGa-oo-la-la!
Want your bad romance
Rah-rah-ah-ah-ah!
Mum-mum-mum-mum-mah!
GaGa-oo-la-la!
Want your bad romance
I want your ugly
แม้ว่าคุณจะน่าเกียด ฉันก็ต้องการ
Rah-rah-ah-ah-ah!
Mum-mum-mum-mum-mah!
GaGa-oo-la-la!
Want your bad romance
Rah-rah-ah-ah-ah!
Mum-mum-mum-mum-mah!
GaGa-oo-la-la!
Want your bad romance
I want your ugly
แม้ว่าคุณจะน่าเกียด ฉันก็ต้องการ
ป้ายกำกับ:
เนื้อเพลงสากล
,
เนื้อเพลงสากลแปล
,
เนื้อเพลง bad romance lady gaga แปล
เขียนโดย
อ้อยิ้ม
25 ความคิดเห็น
:

เนื้อเพลง Trouble Is A Friend - Lenka พร้อมคำแปล
เนื้อเพลง Trouble Is A Friend - Lenka
Trouble he will find you, no matter where you go, oh oh
ตัวปัญหา เขาจะหาคุณจนเจอ ไม่ว่าคุณจะไปอยู่ที่ใด
No matter if you're fast, no matter if you're slow, oh oh
ไม่สำคัญว่าคุณจะรวดเร็วแค่ไหน ไม่สำคัญว่าคุณจะเชื่องช้าเพียงใด
The eye of the storm or the cry in the morn, oh oh
ตรงใจกลางของพายุ หรือเสียงร้องโหยหวนในยามเช้า
You're fine for a while but you start to lose control...
คุณจะสบายดีช่วงหนึ่งแต่แล้วคุณจะเริ่มสูญเสียการควบคุม...
ป้ายกำกับ:
เนื้อเพลงสากล
,
เนื้อเพลงสากลแปล
,
เนื้อเพลง Trouble Is A Friend - Lenka
เขียนโดย
อ้อยิ้ม
24 ความคิดเห็น
:

เนื้อเพลง The Show - Lenka
MV The Show เพลงเพราะๆใสๆของ Lenka สาวน่ารัก ชอบมากถูกใจทั้งคนทั้งเนื้อเพลงเลย แนวเพลง pop
เนื้อเพลง The Show - Lenka
I'm just a little bit
caught in the middle
Life is a maze
and love is a riddle
I don't know where to go
I can't do it alone
(I've tried)
and I don't know why
เนื้อเพลง The Show - Lenka
I'm just a little bit
caught in the middle
Life is a maze
and love is a riddle
I don't know where to go
I can't do it alone
(I've tried)
and I don't know why
ป้ายกำกับ:
เนื้อเพลงสากล
,
เนื้อเพลงสากลแปล
,
เนื้อเพลง The Show - Lenka
เขียนโดย
อ้อยิ้ม
16 ความคิดเห็น
:

เนื้อเพลง Heal The World พร้อมแปล Michael Jackson
MV เพลง Heal The World Michael Jackson เพราะมากๆครับบ.. ทูกใจที่สุดดด.. ฟังแล้วฟังอีกโดนใจ
ตำนานอดีตราชาเพลงป็อปชื่อดัง ไมเคิล แจ๊คสัน ได้เสียชีวิตลงด้วยหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2552 ที่สหรัฐอเมริกา ก็ขอไว้อาลัยกับราชาเพลงป็อป เขาคือตำนาน
เนื้อเพลง Heal The World
ศิลปิน Michael Jackson
ตำนานอดีตราชาเพลงป็อปชื่อดัง ไมเคิล แจ๊คสัน ได้เสียชีวิตลงด้วยหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2552 ที่สหรัฐอเมริกา ก็ขอไว้อาลัยกับราชาเพลงป็อป เขาคือตำนาน
เนื้อเพลง Heal The World
ศิลปิน Michael Jackson
ป้ายกำกับ:
เนื้อเพลงสากล
,
เนื้อเพลงสากลแปล
,
เนื้อเพลง Heal The World
,
heal the world แปล
เขียนโดย
อ้อยิ้ม
27 ความคิดเห็น
:

นวดหน้าลดชะลอริ้วรอย
หากปัญหาริ้วรอยกำลังมาเยือน คุณจะมีวิธีเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาริ้วรอยที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างไร หลายๆ คนคงอาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการช่วยลดเลือนริ้วรอยเป็นที่พึ่ง แต่ก็มีอีกหลายคนเช่นเดียวกันที่นำเอาการนวดหน้ามาช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย การนวดหน้าเพื่อชะลอริ้วรอยสามารถทำได้ด้วยขึ้นตอนง่ายดังต่อไปนี้
ล้างทำความสะอาดใบหน้าและมือให้สะอาด จากนั้นจึงทำการนวดหน้าอย่างเบาๆ โดยเริ่มนวดจากบริเวณส่วนกลางของหน้าผาก ไล่ออกไปจนถึงขมับ จากนั้นจึงกลับมานวดซ้ำบริเวณจุดเดิมคือบริเวณส่วนกลางของหน้าผากอีกครั้ง นวดวนไปมาอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ ประมาณ 15 – 20 นาที ก็จะช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัยได้แล้วล่ะคะ การนวดหน้าด้วยวิธีนี้สามารถทำได้เป็นประจำทุกวัน เพราะไม่ได้มีผลเสียต่อใบหน้า อีกทั้งการนวดยังเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดด้วย ช่วยทำให้คุณรู้สึกสบายยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาในการนวดนานไปสักหน่อย แต่รับรองว่ามันจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าอย่างแน่นอน การนวดด้วยวิธีนี้ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าของคุณ อีกทั้งยังสามารถทำได้เองโดยไม่ต้องไปทำที่ร้าน
ใครที่ชื่นชอบการนวด หรือต้องการชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ก็ลองนำเอาวิธีการนวดด้วยวิธีดังกล่าวนี้ไปลองใช้นวดใบหน้าของคุณดูนะคะ เพราะนอกจากมันจะช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยบนใบหน้าของคุณได้แล้ว ยังช่วยทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายจากความเครียดอีกด้วย แถมยังทำให้คุณรู้สึกสบายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นอนคว่ำระวังหน้ายับย่น
นอนคว่ำ...หน้ายับย่น
เคยไหมเวลาที่ตื่นนอนขึ้นมา ใบหน้ามักจะพบกับรอยยับย่นบางคนเป็นมากน้อยไม่เท่ากัน ที่เลวร้ายสุดๆ คือรอยพับย่นบริเวณใบหน้าหายค่อนข้างช้า ทิ้งรอยพับย่นไว้คอยหลอกหลอนคุณตลอดทั้งวัน หากเป็นเช่นนี้แล้วคุณจะแก้ไขปัญหาหน้ายับย่นหลังจากตื่นนอนได้อย่างไร เรามีข้อมูลดีๆ สำหรับการป้องกันและแก้ไขปัญหาหน้ายับย่นหลังจากตื่นนอนมาฝากกันคะ
ในทุกครั้งที่คุณรู้สึกง่วงและจะล้มตัวลงนอน จงพึงระลึกอยู่เสมอว่าอย่านอนคว่ำหน้า แม้จะเป็นความเคยชินก็ควรจะหลีกเลี่ยงมันเสีย เพราะการนอนคว่ำหน้านี่แหละที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดรอยยับย่นบริเวณใบหน้าหลังจากที่คุณตื่นนอน ทางที่ดีคุณควรเปลี่ยนท่าทางการนอนซะใหม่ เช่น นอนหงาย เปลี่ยนอิริยาบถในการนอนด้วยท่าตะแคงซ้าย ตะแคงขวาเป็นครั้งคราว ก็จะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณไม่ถูกกดทับจนเกิดเป็นรอยยับย่นได้แล้วเมื่อเกิดปัญหารอยยับบริเวณใบหน้าหลังจากการนอนขึ้น ไม่ต้องไปกังวลใจมาก เพราะรอยย่นเหล่านี้สามารถหายได้เองในระยะเวลาอันสิ้น แต่หากเป็นบ่อยๆ ล่ะก็อาจไม่ดีต่อผิวหน้าของคุณแน่ๆ เพราะอาจเสี่ยงต่อการทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ ดังนั้นเป็นไปได้ควรฝึกการนอนของคุณให้อยู่ในท่านอนหงาย เพื่อลดปัญหาการเกิดรอยยับบนใบหน้า อีกทั้งการนอนหงายยังทำให้ระบบการหายใจทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับการนอนคว่ำ ซึ่งนอกจากจะทำให้หน้าเป็นรอยแล้วยังทำให้หายใจไม่สะดวกอีกด้วย
ใครที่ยังคงเคยชินกับการนอนคว่ำ ลองปรับเปลี่ยนท่านอนของคุณเสียใหม่รับรองว่าจะไม่เกิดปัญหารอยยับย่นบนใบหน้าของคุณอย่างแน่นอน
เคยไหมเวลาที่ตื่นนอนขึ้นมา ใบหน้ามักจะพบกับรอยยับย่นบางคนเป็นมากน้อยไม่เท่ากัน ที่เลวร้ายสุดๆ คือรอยพับย่นบริเวณใบหน้าหายค่อนข้างช้า ทิ้งรอยพับย่นไว้คอยหลอกหลอนคุณตลอดทั้งวัน หากเป็นเช่นนี้แล้วคุณจะแก้ไขปัญหาหน้ายับย่นหลังจากตื่นนอนได้อย่างไร เรามีข้อมูลดีๆ สำหรับการป้องกันและแก้ไขปัญหาหน้ายับย่นหลังจากตื่นนอนมาฝากกันคะ
ในทุกครั้งที่คุณรู้สึกง่วงและจะล้มตัวลงนอน จงพึงระลึกอยู่เสมอว่าอย่านอนคว่ำหน้า แม้จะเป็นความเคยชินก็ควรจะหลีกเลี่ยงมันเสีย เพราะการนอนคว่ำหน้านี่แหละที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดรอยยับย่นบริเวณใบหน้าหลังจากที่คุณตื่นนอน ทางที่ดีคุณควรเปลี่ยนท่าทางการนอนซะใหม่ เช่น นอนหงาย เปลี่ยนอิริยาบถในการนอนด้วยท่าตะแคงซ้าย ตะแคงขวาเป็นครั้งคราว ก็จะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณไม่ถูกกดทับจนเกิดเป็นรอยยับย่นได้แล้วเมื่อเกิดปัญหารอยยับบริเวณใบหน้าหลังจากการนอนขึ้น ไม่ต้องไปกังวลใจมาก เพราะรอยย่นเหล่านี้สามารถหายได้เองในระยะเวลาอันสิ้น แต่หากเป็นบ่อยๆ ล่ะก็อาจไม่ดีต่อผิวหน้าของคุณแน่ๆ เพราะอาจเสี่ยงต่อการทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ ดังนั้นเป็นไปได้ควรฝึกการนอนของคุณให้อยู่ในท่านอนหงาย เพื่อลดปัญหาการเกิดรอยยับบนใบหน้า อีกทั้งการนอนหงายยังทำให้ระบบการหายใจทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับการนอนคว่ำ ซึ่งนอกจากจะทำให้หน้าเป็นรอยแล้วยังทำให้หายใจไม่สะดวกอีกด้วย
ใครที่ยังคงเคยชินกับการนอนคว่ำ ลองปรับเปลี่ยนท่านอนของคุณเสียใหม่รับรองว่าจะไม่เกิดปัญหารอยยับย่นบนใบหน้าของคุณอย่างแน่นอน
เทคนิคบีบสิวไม่ทิ้งรอย
บีบสิวไม่ทิ้งรอย
ปัญหาสิวมักสร้างความลำบากใจให้คุณมิใช่น้อย ยิ่งเวลาที่สิวเกิดอาการอักเสบขึ้นมาทีไร นอกจากจะมีเม็ดใหญ่และบวมแดงแล้ว มันยังทำให้คุณรู้สึกเจ็บและอายอีกด้วยคุณจึงคิดหาวิธีที่จำกำจัดสิวอยู่เสมอด้วยวิธีต่างๆ โดยเฉพาะการบีบมันออกไป แม้ว่าการบีบสิวจะไม่ส่งผิวดีต่อผิวหน้าของคุณเลยก็ตาม แต่ถ้าหากคุณเรียนรู้เทคนิคในการบีบมันอย่างถูกต้อง การบีบสิวก็จะไม่ใช่เรื่องอันตรายต่อผิวของคุณแต่อย่างใด
สิ่งที่จะต้องคำนึงอยู่เสมอก่อนการบีบสิวทุกครั้งคือ บีบอย่างไรจึงจะไม่เป็นแผลเป็น และไม่ติดเชื้อลุกลามไปจนกระทั่งเกิดสิวอักเสบ ซึ่งจะต้องใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะหายเป็นปกติ หรือหากหายก็อาจจะทำให้เกิดแผลเป็นกับผิวหน้าได้ง่ายขึ้น ในการบีบสิวไม่ว่าจะเป็นสิวประเภทใด ก่อนบีบทุกครั้งจะต้องให้สำลีเช็ดทำความสะอาดผิวทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเชื้อโรคหลงเหลืออยู่บนใบหน้า เมื่อสิวมีหัวผุดขึ้นมาเนื่องจากการบีบ ให้ใช้สำลีเช็ดเอาหัวสิว คราบเลือดหรือหนองออก ไม่ควรสัมผัสโดยตรงด้วยมือ เพราะอาจทำให้สิวเกิดอาการอักเสบได้ และเปลี่ยนสำลีแผ่นใหม่ทุกครั้งที่ทำการบีบสิวหัวใหม่ การบีบสิวจะต้องค่อยๆบีบ ไม่ใช่บีบให้ออกเพียงครั้งเดียว เพราะนอกจากจะทำให้คุณเจ็บแล้ว มันจะยิ่งทำให้เกิดรอยแผลเป็น อันเนื่องมาจากการบีบแรงๆ นั่นเอง ทางที่ดีควรบีบแล้วหยุด เป็นช่วงๆจะดีกว่า เมื่อบีบสิวเสร็จแล้ว ให้ล้างทำความสะอาดผิวหน้าหลังจากบีบสิวทันที เพื่อเป็นการกำจัดสิ่งสกปรกที่อยู่บนใบหน้า เช่น เชื้อแบคทีเรียที่ออกมาจากหัวสิวของคุณ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิวเม็ดใหม่ขึ้นมาอีก
พอกหน้าโฮมเมด
พอกหน้าโฮมเมด
จะดูแลผิวหน้าด้วยการพอกหน้าทั้งทีเป็นอันต้องเสียเงินกับการเข้าร้านเสริมความงามไปทำไม ในเมื่อคุณเองก็สามารถทำการพอกหน้าได้ด้วยตัวเอง และไม่จำเป็นที่จะต้องไปซื้อผลิตภัณฑ์พอกหน้าราคาแพงมาใช้สำหรับการพอกหน้าอีกด้วย มาดูกันหน่อยดีกว่าว่าการพอกหน้าด้วยตนเองสามารถทำได้อย่างไรกัน
ก่อนหน้านี้คุณคงคิดอยู่เสมอว่าจะพอกหน้าทั้งทีจะต้องทำอย่างไร และจะต้องเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับพอกหน้าอย่างไร หลายต่อหลายคนพยายามลดขั้นตอนความยุ่งยากในการพอกหน้าลงด้วยการพึ่งพาร้านหรือสถานเสริมความงาม เพื่อคอยดูแลและพอกหน้าให้กับคุณซึ่งการพอกหน้าแต่ละครั้งกับสถานเสริมความงามมักทำให้คุณต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการพอกหน้าแต่ละครั้งเป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลยทีเดียว บางคนถึงกับต้องเปลี่ยนจากการเข้าสถานเสริมความงามมาเป็นการหาซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับพอกหน้า มาใช้พอกหน้าเอง ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก็ค่อนข้างมีราคาสูงทีเดียว โดยเฉพาะยี่ห้อดีๆ แต่ถ้าอยากสวยคุณก็คงต้องยอมจ่ายเงินเพื่อแลกกับความงาม แล้วจะดีสักแค่ไหนหากคุณสามารถลงมือพอกหน้าด้วยตัวเอง เพียงแค่ใช้วัตถุดิบเพียงแค่ไม่กี่อย่างก็ทำให้คุณสวยได้เหมือนกับการเข้าสปาเสริมความงาม
สูตรในการพอกหน้าที่นำมาฝากกันนี้เป็นสูตรที่ทำง่าย เพียงแค่บดกลีบกุหลาบจะสีแดงหรือสีชมพูก็ได้ให้ละเอียด แล้วนำมาพอกไว้ให้ทั่วบริเวณใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการพอกหน้าแล้ว
เป็นไงบ้างคะสำหรับสูตรการพอกหน้าที่คุณก็สามารถทำได้เองง่ายๆ แถมยังมีราคาไม่แพงอีกด้วยใช่ไหมล่ะคะ
จะดูแลผิวหน้าด้วยการพอกหน้าทั้งทีเป็นอันต้องเสียเงินกับการเข้าร้านเสริมความงามไปทำไม ในเมื่อคุณเองก็สามารถทำการพอกหน้าได้ด้วยตัวเอง และไม่จำเป็นที่จะต้องไปซื้อผลิตภัณฑ์พอกหน้าราคาแพงมาใช้สำหรับการพอกหน้าอีกด้วย มาดูกันหน่อยดีกว่าว่าการพอกหน้าด้วยตนเองสามารถทำได้อย่างไรกัน
ก่อนหน้านี้คุณคงคิดอยู่เสมอว่าจะพอกหน้าทั้งทีจะต้องทำอย่างไร และจะต้องเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับพอกหน้าอย่างไร หลายต่อหลายคนพยายามลดขั้นตอนความยุ่งยากในการพอกหน้าลงด้วยการพึ่งพาร้านหรือสถานเสริมความงาม เพื่อคอยดูแลและพอกหน้าให้กับคุณซึ่งการพอกหน้าแต่ละครั้งกับสถานเสริมความงามมักทำให้คุณต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการพอกหน้าแต่ละครั้งเป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลยทีเดียว บางคนถึงกับต้องเปลี่ยนจากการเข้าสถานเสริมความงามมาเป็นการหาซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับพอกหน้า มาใช้พอกหน้าเอง ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก็ค่อนข้างมีราคาสูงทีเดียว โดยเฉพาะยี่ห้อดีๆ แต่ถ้าอยากสวยคุณก็คงต้องยอมจ่ายเงินเพื่อแลกกับความงาม แล้วจะดีสักแค่ไหนหากคุณสามารถลงมือพอกหน้าด้วยตัวเอง เพียงแค่ใช้วัตถุดิบเพียงแค่ไม่กี่อย่างก็ทำให้คุณสวยได้เหมือนกับการเข้าสปาเสริมความงาม
สูตรในการพอกหน้าที่นำมาฝากกันนี้เป็นสูตรที่ทำง่าย เพียงแค่บดกลีบกุหลาบจะสีแดงหรือสีชมพูก็ได้ให้ละเอียด แล้วนำมาพอกไว้ให้ทั่วบริเวณใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการพอกหน้าแล้ว
เป็นไงบ้างคะสำหรับสูตรการพอกหน้าที่คุณก็สามารถทำได้เองง่ายๆ แถมยังมีราคาไม่แพงอีกด้วยใช่ไหมล่ะคะ
วิตามินซีเพื่อผิวสวย
วิตามินซีเพื่อผิวสวย
ร่างกายของมนุษย์นั้นไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินซีได้เอง เราสามารถได้รับวิตามินซีด้วยการรับประทานอาหารมากมาย ซึ่งอาหารเหล่านั้น นอกจากจะมีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณของเราอีกด้วย
วิตามินซีมีประโยชน์ต่อผิวหนังคือ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และช่วยลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้าได้ดี ป้องกันผิวจากแสงแดด ช่วยสังเคราะห์คอลลาเจน อีกทั้งวิตามินซียังมีคุณสมบัติในการรักษาแผลให้หายเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะแผลที่เกิดจากสิวที่มักทิ้งริ้วรอยไว้บนใบหน้าให้สามารถหายได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันวิตามินซีนิยมผสมลงในเครื่องสำอางหรือครีมบำรุงผิวหลายชนิด เพื่อทำหน้าที่ในการต้านสารอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวขาวเนียนยิ่งขึ้น และช่วยเติมเต็มคอลลาเจนที่เสื่อมสลายไปให้กับผิวของคุณอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจนักว่าทำไมเราจึงจำเป็นที่จะต้องกินผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เพราะนอกจากจะมีประโยชน์และช่วยดูแลผิวพรรณแล้ว วิตามินซียังช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงเป็นสาเหตุทำให้เราไม่ป่วยง่ายนั่นเอง
ใครอยากมีร่างกายที่แข็งแรงไปพร้อมๆกับผิวสวยเนียนใสล่ะก็ อย่าลืมรับประทานผักและผลไม้สดที่มีวิตามินซีสูงนะคะ เพราะมันไม่ได้ดีสำหรับร่างกายและผิวพรรณของเราเท่านั้น แต่มันยังช่วยกระตุ้นให้ระบบขับถ่ายของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย สำหรับผักและผลไม้สดที่มีวิตามินสูงก็ได้แก่ ฝรั่ง ส้ม มะเขือเทศ มะขาม มะม่วง และผลไม้รสเปรี้ยวอีกมากมาย ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่หารับประทานได้ง่ายแทบทั้งสิ้น
ร่างกายของมนุษย์นั้นไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินซีได้เอง เราสามารถได้รับวิตามินซีด้วยการรับประทานอาหารมากมาย ซึ่งอาหารเหล่านั้น นอกจากจะมีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณของเราอีกด้วย
วิตามินซีมีประโยชน์ต่อผิวหนังคือ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และช่วยลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้าได้ดี ป้องกันผิวจากแสงแดด ช่วยสังเคราะห์คอลลาเจน อีกทั้งวิตามินซียังมีคุณสมบัติในการรักษาแผลให้หายเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะแผลที่เกิดจากสิวที่มักทิ้งริ้วรอยไว้บนใบหน้าให้สามารถหายได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันวิตามินซีนิยมผสมลงในเครื่องสำอางหรือครีมบำรุงผิวหลายชนิด เพื่อทำหน้าที่ในการต้านสารอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวขาวเนียนยิ่งขึ้น และช่วยเติมเต็มคอลลาเจนที่เสื่อมสลายไปให้กับผิวของคุณอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจนักว่าทำไมเราจึงจำเป็นที่จะต้องกินผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เพราะนอกจากจะมีประโยชน์และช่วยดูแลผิวพรรณแล้ว วิตามินซียังช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงเป็นสาเหตุทำให้เราไม่ป่วยง่ายนั่นเอง
ใครอยากมีร่างกายที่แข็งแรงไปพร้อมๆกับผิวสวยเนียนใสล่ะก็ อย่าลืมรับประทานผักและผลไม้สดที่มีวิตามินซีสูงนะคะ เพราะมันไม่ได้ดีสำหรับร่างกายและผิวพรรณของเราเท่านั้น แต่มันยังช่วยกระตุ้นให้ระบบขับถ่ายของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย สำหรับผักและผลไม้สดที่มีวิตามินสูงก็ได้แก่ ฝรั่ง ส้ม มะเขือเทศ มะขาม มะม่วง และผลไม้รสเปรี้ยวอีกมากมาย ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่หารับประทานได้ง่ายแทบทั้งสิ้น
เมื่อมีคราบเครื่องสำอางบนใบหน้า
มีเครื่องสำอางบนใบหน้า
เมื่อผิวหน้าคุณต้องสัมผัสกับเครื่องสำอางมาตลอดทั้งวัน จงอย่าปล่อยให้คราบเครื่องสำอางตกค้างอยู่บนบริเวณใบหน้าข้ามวันข้ามคืน เพราะหากผิวหน้ายังคงมีคราบเครื่องสำอางตกค้างอยู่โดยไม่ได้เช็ดล้างทำความสะอาดออกอย่างถูกวิธีล่ะก็ อาจส่งผลทำให้เกิดสิวและรูขุมขนอุดตันได้ อีกทั้งการล้างหน้าเพียงอย่างเดียวอาจไม่ทำให้ผิวหน้าของคุณสะอาดได้อย่างหมดจด ดังนั้น จึงควรมีการเช็ดล้างทำความสะอาดคราบเครื่องสำอางออกก่อนทุกครั้ง เพื่อให้การล้างหน้าสามารถล้างทำความสะอาดได้ง่ายยิ่งขึ้น
เมื่อมีเครื่องคราบสำอางบนใบหน้าจะทำความสะอาดให้หมดจด จึงควรจะเริ่มที่การเช็ดเอาเครื่องสำอางออกก่อนเสมอ หรืออาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เช็ดล้างทำความสะอาดพวกคลีนซิ่งออยล์ที่สามารถล้างทำความสะอาดคราบเครื่องสำอางได้ทันทีก็สามารถทำได้ จากนั้นจึงตามด้วยการล้างหน้าทำความสะอาดปกติ กรณีผิวรอบดวงตา ควรใช้สำลีชุบน้ำพอหมาดๆ แล้วหยดด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เพื่อเช็ดล้างทำความสะอาดบริเวณรอบดวงตา ระวังอย่าเช็ดถูไปมา เพราะอาจทำให้ตาช้ำจนเป็นรอยได้ เมื่อเช็ดทุกครั้งจะต้องเช็ดลงมาให้ถึงตรงขอบตา เพื่อเช็ดทำความสะอาดเอามาสคาร่าให้หลุดออกมาด้วย ในส่วนของการทำความสะอาดผิวริมฝีปากให้ใช้สำลีชุบน้ำยาเช็ดเครื่องสำอาง เช็ดล้างบริเวณร่องปาก มุมปาก ไม่ควรถูไปในแนวขวาง เพราะจะทำให้ริมฝีปากแตกและมีรอยเหี่ยวย่น หลังจากเสร็จสิ้นการเช็ดหน้าแล้ว ก็สามารถล้างทำความสะอาดผิวหน้าได้ตามปกติ ด้วย โฟมล้างหน้าหรือสบู่ที่เหมาะสำหรับทำความสะอาดผิวหน้าของเรา เท่านี้ปัญหาคราบเครื่องสำอางบนใบหน้าก็จะไม่ก่อให้เกิดสิวอุดตันและรูขุมขนกว้างได้แล้วล่ะคะ
การทำพาราฟินทรีตเมนต์กับใบหน้า
พาราฟินทรีตเมนต์
หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไหร่สำหรับพาราฟินทรีตเมนต์พาราฟินทรีตเมนต์คล้ายกับการทำสปาผิวทั่วไป แต่พาราฟินทรีตเมนต์จะช่วยบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก ฟื้นฟูสภาพผิวได้อย่างรวดเร็ว แม้จะทำเพียงแค่ครั้งเดียวก็สามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผิวหน้า แต่การทำพาราฟินทรีตเมนต์มีราคาค่อนข้างแพง เฉลี่ยแล้วหมอหนึ่งก็ตกประมาณ 3 – 5 พันบาท ด้วยเหตุนี้จึงมีคนคิดค้นและผลิตพาราฟินทรีตเมนต์ออกมาในรูปแบบต่างๆ เช่น แบบเนื้อครีม แบบสเปรย์ เป็นต้น เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน อีกทั้งมีราคาไม่แพงด้วย
การทำพาราฟินทรีตเมนต์กับใบหน้า จะทำให้ผิวหน้าของคุณสะอาดล้ำลึก ผิวบางเบาน่าสัมผัส คงความอ่อนเยาว์ การทำพาราฟินทรีตเมนต์สามารถทำได้โดยใช้ขี้ผึ้งพาราฟินอุ่นๆ พอกทับกับมอยส์เจอไรเซอร์ทรีตเมนต์ที่ทาทิ้งไว้ตั้งแต่ขั้นแรก ทาพาราฟินให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงลอกออก เพียงเท่านี้ก็จะสามารถดูแลผิวได้อย่างล้ำลึกแล้วล่ะคะ กรณีที่คุณใช้พาราฟินไม่หมดยังสามารถเก็บไว้ใช้ต่อได้ หากพาราฟินนั้นไม่ได้ปนเปื้อนกับสิ่งแปลกปลอม
นอกจากนี้ยังมีสปาหลายแห่งที่เปิดให้บริการทำพาราฟินทรีตเมนต์ แต่คงจะต้องเลือกสถานที่กันสักหน่อย เพราะไม่แน่ว่าคุณอาจจะได้พาราฟินทรีตเมนต์ที่เคยใช้มาแล้ว เพราะบางแห่งหากลูกค้าคนก่อนใช้ไม่หมดก็จะนำมาใช้กับลูกค้าคนใหม่อีก ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโรคแทนการบำรุงที่ล้ำลึก อย่างไรก็ตาม ลองหาร้านดีๆที่เชื่อถือได้ เพื่อทำพาราฟินทรีตเมนต์ดูนะคะ เพื่อเป็นการดูแลผิวหน้าอย่างล้ำลึก
หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไหร่สำหรับพาราฟินทรีตเมนต์พาราฟินทรีตเมนต์คล้ายกับการทำสปาผิวทั่วไป แต่พาราฟินทรีตเมนต์จะช่วยบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก ฟื้นฟูสภาพผิวได้อย่างรวดเร็ว แม้จะทำเพียงแค่ครั้งเดียวก็สามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผิวหน้า แต่การทำพาราฟินทรีตเมนต์มีราคาค่อนข้างแพง เฉลี่ยแล้วหมอหนึ่งก็ตกประมาณ 3 – 5 พันบาท ด้วยเหตุนี้จึงมีคนคิดค้นและผลิตพาราฟินทรีตเมนต์ออกมาในรูปแบบต่างๆ เช่น แบบเนื้อครีม แบบสเปรย์ เป็นต้น เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน อีกทั้งมีราคาไม่แพงด้วย
การทำพาราฟินทรีตเมนต์กับใบหน้า จะทำให้ผิวหน้าของคุณสะอาดล้ำลึก ผิวบางเบาน่าสัมผัส คงความอ่อนเยาว์ การทำพาราฟินทรีตเมนต์สามารถทำได้โดยใช้ขี้ผึ้งพาราฟินอุ่นๆ พอกทับกับมอยส์เจอไรเซอร์ทรีตเมนต์ที่ทาทิ้งไว้ตั้งแต่ขั้นแรก ทาพาราฟินให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงลอกออก เพียงเท่านี้ก็จะสามารถดูแลผิวได้อย่างล้ำลึกแล้วล่ะคะ กรณีที่คุณใช้พาราฟินไม่หมดยังสามารถเก็บไว้ใช้ต่อได้ หากพาราฟินนั้นไม่ได้ปนเปื้อนกับสิ่งแปลกปลอม
นอกจากนี้ยังมีสปาหลายแห่งที่เปิดให้บริการทำพาราฟินทรีตเมนต์ แต่คงจะต้องเลือกสถานที่กันสักหน่อย เพราะไม่แน่ว่าคุณอาจจะได้พาราฟินทรีตเมนต์ที่เคยใช้มาแล้ว เพราะบางแห่งหากลูกค้าคนก่อนใช้ไม่หมดก็จะนำมาใช้กับลูกค้าคนใหม่อีก ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโรคแทนการบำรุงที่ล้ำลึก อย่างไรก็ตาม ลองหาร้านดีๆที่เชื่อถือได้ เพื่อทำพาราฟินทรีตเมนต์ดูนะคะ เพื่อเป็นการดูแลผิวหน้าอย่างล้ำลึก
วิเคราะห์สภาพผิวด้วยตัวเอง
วิเคราะห์สภาพผิวด้วยตัวเอง
เพื่อให้การดูแลผิว สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องทราบว่าผิวของเรานั้น เป็นผิวชนิดใดและมีสภาพผิวเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้สามารถดูแลและแก้ไขได้อย่างตรงจุดที่สุด งั้นมาลองตรวจเช็คดูกันสักหน่อยสิว่าผิวของคุณนั้นมีสภาพผิวเป็นอย่างไร
เริ่มต้นการวิเคราะห์สภาพผิวโดยใช้สบู่ล้างทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาด ทิ้งไว้ประมาณ 4 ชั่วโมง จึงสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับใบหน้าของคุณ
หากพบว่าผิวหน้าของคุณไม่มีความมัน สามารถมองเห็นรูขุมขนได้อย่างชัดเจน แสดงว่าผิวของคุณคือผิวธรรมดา
แต่ถ้าพบว่า ผิวหน้าของคุณรู้สึกแห้งตึง ลอกเป็นขุยๆในบางแห่ง และสังเกตเห็นรูขุมขนน้อยมาก แสดงว่าผิวของคุณเป็นผิวแห้ง
ถ้าพบว่าหลังจาก 4 ชั่วโมงผ่านไป ใบหน้าของคุณมีอาการมันเยิ้ม และมีขนาดรูขุมขนที่กว้างขึ้น แสดงว่าผิวหน้าของคุณนั้นเป็นผิวลักษณะมัน
แต่ถ้าพบว่ารู้สึกแห้งตึงบริเวณแก้ม และมันบริเวณช่วงทีโซน ก็แสดงว่าผิวของคุณเป็นผิวผสม ซึ่งเป็นผิวที่พบได้ในคนไทยส่วนใหญ่
เมื่อพบว่าผิวหน้ามีอาการคัน หลังจากที่ทำการล้างหน้าด้วยสบู่ แสดงว่าผิวของคุณเป็นผิวบอบบางแพ้ง่าย เพราะจะรู้สึกแสบๆ คันๆ บริเวณผิวหน้า
การวิเคราะห์ผิวหน้ามีความสำคัญ คือ ช่วยให้เราดูแลผิวของเราได้อย่างถูกต้อง ทั้งยังเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลผิวได้ง่าย อย่าลืมว่าผิวแต่ละประเภทต้องการการดูแลที่แตกต่าง ดังนั้น หากเราทราบว่าผิวของเรานั้นเป็นผิวลักษณะใด ก็ย่อมได้รับการดูแลที่ถูกต้องจากผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว
เพื่อให้การดูแลผิว สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องทราบว่าผิวของเรานั้น เป็นผิวชนิดใดและมีสภาพผิวเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้สามารถดูแลและแก้ไขได้อย่างตรงจุดที่สุด งั้นมาลองตรวจเช็คดูกันสักหน่อยสิว่าผิวของคุณนั้นมีสภาพผิวเป็นอย่างไร
เริ่มต้นการวิเคราะห์สภาพผิวโดยใช้สบู่ล้างทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาด ทิ้งไว้ประมาณ 4 ชั่วโมง จึงสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับใบหน้าของคุณ
หากพบว่าผิวหน้าของคุณไม่มีความมัน สามารถมองเห็นรูขุมขนได้อย่างชัดเจน แสดงว่าผิวของคุณคือผิวธรรมดา
แต่ถ้าพบว่า ผิวหน้าของคุณรู้สึกแห้งตึง ลอกเป็นขุยๆในบางแห่ง และสังเกตเห็นรูขุมขนน้อยมาก แสดงว่าผิวของคุณเป็นผิวแห้ง
ถ้าพบว่าหลังจาก 4 ชั่วโมงผ่านไป ใบหน้าของคุณมีอาการมันเยิ้ม และมีขนาดรูขุมขนที่กว้างขึ้น แสดงว่าผิวหน้าของคุณนั้นเป็นผิวลักษณะมัน
แต่ถ้าพบว่ารู้สึกแห้งตึงบริเวณแก้ม และมันบริเวณช่วงทีโซน ก็แสดงว่าผิวของคุณเป็นผิวผสม ซึ่งเป็นผิวที่พบได้ในคนไทยส่วนใหญ่
เมื่อพบว่าผิวหน้ามีอาการคัน หลังจากที่ทำการล้างหน้าด้วยสบู่ แสดงว่าผิวของคุณเป็นผิวบอบบางแพ้ง่าย เพราะจะรู้สึกแสบๆ คันๆ บริเวณผิวหน้า
การวิเคราะห์ผิวหน้ามีความสำคัญ คือ ช่วยให้เราดูแลผิวของเราได้อย่างถูกต้อง ทั้งยังเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลผิวได้ง่าย อย่าลืมว่าผิวแต่ละประเภทต้องการการดูแลที่แตกต่าง ดังนั้น หากเราทราบว่าผิวของเรานั้นเป็นผิวลักษณะใด ก็ย่อมได้รับการดูแลที่ถูกต้องจากผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว
ขัดผิวหน้าเผยผิวใส
ขัดผิวหน้าเผยผิวใส
การสครับผิวหน้าเป็นการขัดผิวหน้าเพื่อเผยผิวใส เรียบเนียนยิ่งขึ้น เมื่อบำรุงผิวหน้าด้วยครีมใดๆ ก็จะสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก แต่การขัดผิวหน้ามีประโยชน์จริงหรือไม่ มาดูกันก่อนดีกว่าคะ
การขัดผิวด้วยการสครับไม่เหมาะที่จะทำบ่อยๆ แม้ว่าการสครับจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป แต่ก็ไม่ควรทำเป็นประจำ เพราะจะทำให้ผิวหน้าบางและถูกทำลายจากปัจจัยอื่นๆได้ง่าย เช่น แสงแดดและมลภาวะ เป็นต้น โดยเฉลี่ยควรสครับหน้าเพียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เมื่อเราทราบว่าการสครับคือการขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป ก็ควรเลือกสครับที่มีความอ่อนโยนต่อผิวหน้ามาช่วยขัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออกไป การสครับนั้นเหมาะกับผิวที่มีรูขุมขนกว้างและผิวที่มีปัญหาสิว แต่หากพบว่ามีสิวมากก็ควรเลี่ยงการขัดด้วยสครับ เพราะอาจทำให้สิวอักเสบได้ง่าย ควรรอให้สิวหายจากอาการอักเสบลงก่อน เพื่อที่จะได้ไม่เกิดการระคายเคือง นอกจากนี้การสครับผิวหน้ายังช่วยกระชับรูขุมขนที่เคยกว้างให้ค่อยๆเล็กลงได้ แต่ควรทำควบคู่ไปกับการใช้ครีมที่มีคุณสมบัติในการช่วยกระชับรูขุมขน
การสครับผิวหน้าเพียงแค่สัปดาห์ละครั้ง ไม่เพียงแต่ช่วยลดการเกิดสิวเท่านั้น แต่ยังทำให้รูชุมชนเล็กลงอีกด้วย อีกทั้งการทำสครับยังช่วยทำให้ผิวหน้าของคุณดูกระจ่างใส ไม่หมองคล้ำ จากการสะสมของเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว ที่สำคัญยังช่วยแก้ปัญหาสิวเสี้ยนในบางกรณีได้อีกด้วย เห็นไหมล่ะคะว่าการทำสครับผิวหน้านั้น มีความสำคัญอย่างไรกับใบหน้าของเรา
การสครับผิวหน้าเป็นการขัดผิวหน้าเพื่อเผยผิวใส เรียบเนียนยิ่งขึ้น เมื่อบำรุงผิวหน้าด้วยครีมใดๆ ก็จะสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก แต่การขัดผิวหน้ามีประโยชน์จริงหรือไม่ มาดูกันก่อนดีกว่าคะ
การขัดผิวด้วยการสครับไม่เหมาะที่จะทำบ่อยๆ แม้ว่าการสครับจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป แต่ก็ไม่ควรทำเป็นประจำ เพราะจะทำให้ผิวหน้าบางและถูกทำลายจากปัจจัยอื่นๆได้ง่าย เช่น แสงแดดและมลภาวะ เป็นต้น โดยเฉลี่ยควรสครับหน้าเพียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เมื่อเราทราบว่าการสครับคือการขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป ก็ควรเลือกสครับที่มีความอ่อนโยนต่อผิวหน้ามาช่วยขัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออกไป การสครับนั้นเหมาะกับผิวที่มีรูขุมขนกว้างและผิวที่มีปัญหาสิว แต่หากพบว่ามีสิวมากก็ควรเลี่ยงการขัดด้วยสครับ เพราะอาจทำให้สิวอักเสบได้ง่าย ควรรอให้สิวหายจากอาการอักเสบลงก่อน เพื่อที่จะได้ไม่เกิดการระคายเคือง นอกจากนี้การสครับผิวหน้ายังช่วยกระชับรูขุมขนที่เคยกว้างให้ค่อยๆเล็กลงได้ แต่ควรทำควบคู่ไปกับการใช้ครีมที่มีคุณสมบัติในการช่วยกระชับรูขุมขน
การสครับผิวหน้าเพียงแค่สัปดาห์ละครั้ง ไม่เพียงแต่ช่วยลดการเกิดสิวเท่านั้น แต่ยังทำให้รูชุมชนเล็กลงอีกด้วย อีกทั้งการทำสครับยังช่วยทำให้ผิวหน้าของคุณดูกระจ่างใส ไม่หมองคล้ำ จากการสะสมของเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว ที่สำคัญยังช่วยแก้ปัญหาสิวเสี้ยนในบางกรณีได้อีกด้วย เห็นไหมล่ะคะว่าการทำสครับผิวหน้านั้น มีความสำคัญอย่างไรกับใบหน้าของเรา
รอยหมองคล้ำรอบดวงตา
รอยหมองคล้ำรอบดวงตา
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อค่ะ แค่เพียงคุณมีริ้วรอยร่องลึก และความหมองคล้ำรอบดวงตาอย่างเห็นได้ชัด ก็ทำให้ใบหน้าของคุณแลดูไม่สดใสซะแล้ว หรือบางคนอาจแลดูโทรมเสียด้วยซ้ำไป ปัญหาเรื่องริ้วรอย และความหมองคล้ำรอบดวงตา ถือเป็นปัญหาที่ควรต้องใส่ใจดูแลรักษา และทะนุถนอมอย่างต่อเนื่อง เพราะพื้นที่รอบดวงตาถูกจัดอันดับว่าเป็นส่วนที่บอบบางที่สุดบนใบหน้า ที่แน่ ๆ ดวงตาถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญว่า ใบหน้า จะดูสวยหรือดูโทรม
แต่เมื่อถึงเวลาที่อายุมากขึ้น ริ้วรอย หรือที่เรียกกันจนติดปากว่า รอยตีนกา ก็จะแสดงตัวตนออกมาในวันหนึ่ง ยังไงเสียเราก็หนีกันไม่พ้น แต่อย่างน้อยเราก็มีวิธีชะลอการเกิดรอยตีนกา และความหมองคล้ำให้ดวงตาได้ ด้วยการพยายามหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดซึ่งต่อจากนี้เรามาดูกันว่า อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวบริเวณรอบดวงตาเกิดริ้วรอยร่องลึก และความหมองคล้ำ
การอดหลับอดนอน หรือเกิดภาวะเครียดจนนอนไม่หลับ
ติดนิสัยชอบใช้มือขยี้ตาแรง ๆ หรือแตะสัมผัสผิวบริเวณรอบดวงตาอย่างไม่เบามือ
ใช้งานดวงตาหนักจนเกินไปคือ ทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ หรือใช้สายตาอ่านหนังสืออย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ โดยไม่มีการพักสายตาบ้าง
ไม่ถนอมสายตา หรือปกป้องสายตาจากแสงแดด
ละเลยเรื่องการทาครีมบำรุงผิวบริเวณรอบดวงตา
เพราะกลไกของร่างกายที่สร้างมันขึ้นเองคือ สร้างเมลานินที่อยู่บริเวณผิวรอบดวงตามากกว่าปกติ จึงทำให้สีผิวรอบดวงตาเข้มมากกว่าบริเวณอื่น ๆ
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อค่ะ แค่เพียงคุณมีริ้วรอยร่องลึก และความหมองคล้ำรอบดวงตาอย่างเห็นได้ชัด ก็ทำให้ใบหน้าของคุณแลดูไม่สดใสซะแล้ว หรือบางคนอาจแลดูโทรมเสียด้วยซ้ำไป ปัญหาเรื่องริ้วรอย และความหมองคล้ำรอบดวงตา ถือเป็นปัญหาที่ควรต้องใส่ใจดูแลรักษา และทะนุถนอมอย่างต่อเนื่อง เพราะพื้นที่รอบดวงตาถูกจัดอันดับว่าเป็นส่วนที่บอบบางที่สุดบนใบหน้า ที่แน่ ๆ ดวงตาถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญว่า ใบหน้า จะดูสวยหรือดูโทรม
แต่เมื่อถึงเวลาที่อายุมากขึ้น ริ้วรอย หรือที่เรียกกันจนติดปากว่า รอยตีนกา ก็จะแสดงตัวตนออกมาในวันหนึ่ง ยังไงเสียเราก็หนีกันไม่พ้น แต่อย่างน้อยเราก็มีวิธีชะลอการเกิดรอยตีนกา และความหมองคล้ำให้ดวงตาได้ ด้วยการพยายามหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดซึ่งต่อจากนี้เรามาดูกันว่า อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวบริเวณรอบดวงตาเกิดริ้วรอยร่องลึก และความหมองคล้ำ
การอดหลับอดนอน หรือเกิดภาวะเครียดจนนอนไม่หลับ
ติดนิสัยชอบใช้มือขยี้ตาแรง ๆ หรือแตะสัมผัสผิวบริเวณรอบดวงตาอย่างไม่เบามือ
ใช้งานดวงตาหนักจนเกินไปคือ ทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ หรือใช้สายตาอ่านหนังสืออย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ โดยไม่มีการพักสายตาบ้าง
ไม่ถนอมสายตา หรือปกป้องสายตาจากแสงแดด
ละเลยเรื่องการทาครีมบำรุงผิวบริเวณรอบดวงตา
เพราะกลไกของร่างกายที่สร้างมันขึ้นเองคือ สร้างเมลานินที่อยู่บริเวณผิวรอบดวงตามากกว่าปกติ จึงทำให้สีผิวรอบดวงตาเข้มมากกว่าบริเวณอื่น ๆ
ดวงตาสวยใส มองแล้วปิ๊งปิ๊ง
ดวงตาสวยใส มองแล้วปิ๊งปิ๊ง
ทั่วทั้งผิวหน้า จัดลำดับผิวให้ผิวบริเวณรอบดวงตาเป็นส่วนที่บอบบางที่สุด และแน่ล่ะ ผิวส่วนนี้จำเป็นต้องทะนุถนอมเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นจะมีอายครีมออกมาขายกันทำไม จริงมั้ยคะ? หากคุณปล่อยให้ผิวรอบดวงตาหมองคล้ำ แห้งเหี่ยว และเต็มไปด้วยริ้วรอย รับรองใบหน้าของคุณจะแลดูโทรมไม่สดใส หรืออาจดูแลเป็นคุณป้าเร็วกว่าอายุ ถ้าเช่นนั้นก็ตามมาดูกันเลยดีกว่าว่า ต้องเสริมเกราะป้องกันดวงตาด้วยวิธีไหน
ทาอายครีมรอบดวงตาทุกวันทั้งเช้าและเย็น ที่สำคัญเวลาทาควรทาด้วยความแผ่วเบาที่สุดด้วยนิ้วนาง ส่วนปริมาณที่ใช้ขอแค่ประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียวก็พอ
กินอาหารที่มีวิตามิน เอ สูง เพราะวิตามิน เอ มีคุณสมบัติช่วยบำรุงสายตา เช่น ผักใบเขียวอย่างพวกคะน้า ตำลึง ผักบุ้ง ผักโขม บร็อคโคลี หน่อไม้ฝรั่ง ฯลฯ
ทุกครั้งที่ต้องออกไปเผชิญกับแสงแดด สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ แว่นตากันแดด หรืออาจจะใส่หมวก หรือกางร่มด้วยก็จะดีไม่น้อย
ห้ามขยี้ตาแรง ๆ เพราะแรงขยี้จะทำลายผิวบริเวณรอบดวงตา หรืออาจทำให้เส้นเลือดในดวงตาแตกได้
ไม่ควรใช้งานดวงตาหนัก เช่น ใช้สายตาจ้องคอมพิวเตอร์นาน ๆ หรือคร่ำเคร่งอ่านหนังสือเป็นเวลาหลายชั่วโมง โดยไม่มีการหยุดพักสายตา วิธีที่จะช่วยถนอมสายตาคือ หยุดพักบ้าง อย่างน้อยทุก ๆ หนึ่งชั่วโมง คลายความเมื่อยล้าด้วยการหลับตาลงสักพัก หรือหันไปมองความเขียวสดของต้นไม้ใบไม้นอกหน้าต่างบ้าง แล้วค่อยมาลุยกันต่อ
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
สำหรับคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การดูและเรื่องความสะอาดและคุณภาพของคอนแทคเลนส์ เพราะถ้าคุณไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ปัญาหาต่าง ๆ ตามมาแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องของการ “ติดเชื้อ” ที่สาว ๆ ผู้นิยม “บิ๊กอาย” (bigeye) ทั้งหลายชอบ
ทั่วทั้งผิวหน้า จัดลำดับผิวให้ผิวบริเวณรอบดวงตาเป็นส่วนที่บอบบางที่สุด และแน่ล่ะ ผิวส่วนนี้จำเป็นต้องทะนุถนอมเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นจะมีอายครีมออกมาขายกันทำไม จริงมั้ยคะ? หากคุณปล่อยให้ผิวรอบดวงตาหมองคล้ำ แห้งเหี่ยว และเต็มไปด้วยริ้วรอย รับรองใบหน้าของคุณจะแลดูโทรมไม่สดใส หรืออาจดูแลเป็นคุณป้าเร็วกว่าอายุ ถ้าเช่นนั้นก็ตามมาดูกันเลยดีกว่าว่า ต้องเสริมเกราะป้องกันดวงตาด้วยวิธีไหน
ทาอายครีมรอบดวงตาทุกวันทั้งเช้าและเย็น ที่สำคัญเวลาทาควรทาด้วยความแผ่วเบาที่สุดด้วยนิ้วนาง ส่วนปริมาณที่ใช้ขอแค่ประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียวก็พอ
กินอาหารที่มีวิตามิน เอ สูง เพราะวิตามิน เอ มีคุณสมบัติช่วยบำรุงสายตา เช่น ผักใบเขียวอย่างพวกคะน้า ตำลึง ผักบุ้ง ผักโขม บร็อคโคลี หน่อไม้ฝรั่ง ฯลฯ
ทุกครั้งที่ต้องออกไปเผชิญกับแสงแดด สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ แว่นตากันแดด หรืออาจจะใส่หมวก หรือกางร่มด้วยก็จะดีไม่น้อย
ห้ามขยี้ตาแรง ๆ เพราะแรงขยี้จะทำลายผิวบริเวณรอบดวงตา หรืออาจทำให้เส้นเลือดในดวงตาแตกได้
ไม่ควรใช้งานดวงตาหนัก เช่น ใช้สายตาจ้องคอมพิวเตอร์นาน ๆ หรือคร่ำเคร่งอ่านหนังสือเป็นเวลาหลายชั่วโมง โดยไม่มีการหยุดพักสายตา วิธีที่จะช่วยถนอมสายตาคือ หยุดพักบ้าง อย่างน้อยทุก ๆ หนึ่งชั่วโมง คลายความเมื่อยล้าด้วยการหลับตาลงสักพัก หรือหันไปมองความเขียวสดของต้นไม้ใบไม้นอกหน้าต่างบ้าง แล้วค่อยมาลุยกันต่อ
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
สำหรับคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การดูและเรื่องความสะอาดและคุณภาพของคอนแทคเลนส์ เพราะถ้าคุณไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ปัญาหาต่าง ๆ ตามมาแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องของการ “ติดเชื้อ” ที่สาว ๆ ผู้นิยม “บิ๊กอาย” (bigeye) ทั้งหลายชอบ
พลังธรรมชาติรังสรรค์ความงาม
พลังธรรมชาติรังสรรค์ความงาม
พืชผักผลไม้ถือเป็นขุมทรัพย์แห่งความงามก็ว่าได้ เพราะเราต่างก็รู้กันดีกว่า พืชผักผลไม้ล้วนอุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุสารพัด คุณค่าของธรรมชาติที่อัดแน่นอยู่ในพืชผักผลไม้ทั้งหลาย มีส่วนอย่างมากต่อการคงความอ่อนเยาว์ให้กับคุณ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับผิว ช่วยผลัดเซลล์ผิว ที่สำคัญยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเลิศช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ และช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะแวดล้อมต่าง ๆ
ว่ากันตามจริงแล้ว การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวถือเป็นการบำรุงผิวแค่เพียงภายนอก ถือว่าไม่เพียงพอต่อการชะลอความร่วงโรย เพราะถ้าจะให้ได้ผลอย่างเต็มที่ ก็ต้องบำรุงบำเรอกันทั้งภายนอกและภายใน ฉะนั้น ควรป้อนสิ่งดี ๆ ให้กับตัวคุณเอง หันมาชะลอความร่วงโรยด้วยการกินผักผลไม้สด ๆ ทุกวันอย่างสม่ำเสมอ เพราะการกินผักผลไม้ ถือเป็นการปั้นสาวจากภายในแบบสุดยอด อีกทั้งยังให้กากใยอาหาร ซึ่งกากใยอาหารจะส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย ทำให้หมดปัญหาเรื่องอาการท้องผูก และไหนจะไฟโตนิวเทรียนท์อีก ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
พืชผักผลไม้ถือเป็นขุมทรัพย์แห่งความงามก็ว่าได้ เพราะเราต่างก็รู้กันดีกว่า พืชผักผลไม้ล้วนอุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุสารพัด คุณค่าของธรรมชาติที่อัดแน่นอยู่ในพืชผักผลไม้ทั้งหลาย มีส่วนอย่างมากต่อการคงความอ่อนเยาว์ให้กับคุณ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับผิว ช่วยผลัดเซลล์ผิว ที่สำคัญยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเลิศช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ และช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะแวดล้อมต่าง ๆ
ว่ากันตามจริงแล้ว การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวถือเป็นการบำรุงผิวแค่เพียงภายนอก ถือว่าไม่เพียงพอต่อการชะลอความร่วงโรย เพราะถ้าจะให้ได้ผลอย่างเต็มที่ ก็ต้องบำรุงบำเรอกันทั้งภายนอกและภายใน ฉะนั้น ควรป้อนสิ่งดี ๆ ให้กับตัวคุณเอง หันมาชะลอความร่วงโรยด้วยการกินผักผลไม้สด ๆ ทุกวันอย่างสม่ำเสมอ เพราะการกินผักผลไม้ ถือเป็นการปั้นสาวจากภายในแบบสุดยอด อีกทั้งยังให้กากใยอาหาร ซึ่งกากใยอาหารจะส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย ทำให้หมดปัญหาเรื่องอาการท้องผูก และไหนจะไฟโตนิวเทรียนท์อีก ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
อาหารทำร้ายผิวที่เกิดสารอนุมูลอิสระไม่ควรแตะ
อาหารบางประเภท
ถ้าจะไม่พูดถึงอาหารทำร้ายผิว ก็ไม่ครบกระบวนการปั้นสาวเปลือยสวยของเรา รู้กันดีอยู่แล้วว่าตัวการใหญ่ที่สร้างสารอนุมูลอิสระขึ้นมาก็คือกระบวนการเผาผลาญอาหารนั่นเอง ดังนั้น ประเภทอาหารที่กินจึงมีส่วนสำคัญอย่างมาก เพื่อเป็นการช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระเราจึงจำเป็นต้องรู้ว่าอาหารประเภทไหนที่ไม่ควรแตะต้อง แต่ถ้าอดใจไม่ไหวก็ควรกินแต่เพียงน้อยนิด
อาหารประเภทไขมันอิ่มตัว
อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง พบได้ในอาหารประเภทไอศกรีม ขนมกรุบกรอบ ช็อกโกแลต เนย นม กะทิ เนื้อสัตว์ติดมัน หนังไก่ อาหารแปรรูปอย่างพวก ไส้กรอก หมูแฮม เบคอน รายชื่ออาหารที่ว่านี้ล้วนเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพและความร่วงโรยของเซลล์ผิว
อาหารประเภทของทอด ของมันต่าง ๆ
อาหารทอดและอาหารมันต่าง ๆ เป็นประเภทที่มีไขมันอิ่มตัวสูงเมื่อกินเข้าไปมาก ๆ จะทำให้เกิดการอุดตันตามรูขุมขน เป็นต้นต่อของการเกิดสิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารประเภททอดจะมีอนุมูลอิสระซึ่งเป็นตัวการทำลายเซลล์ผิว และถ้ายิ่งเป็นอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ ๆ ควรหลีกเลี่ยงเพราะจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ
เครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีนเป็นส่วนผสม
ชา กาแฟ และน้ำอัดลม หากดื่มมากเกินจะไปทำลายความชุ่มชื้นของผิวหนัง ทำให้ผิวขาดน้ำ มีแต่ความแห้งกร้าน และขาดความสดใสเปล่งปลั่ง
ถ้าจะไม่พูดถึงอาหารทำร้ายผิว ก็ไม่ครบกระบวนการปั้นสาวเปลือยสวยของเรา รู้กันดีอยู่แล้วว่าตัวการใหญ่ที่สร้างสารอนุมูลอิสระขึ้นมาก็คือกระบวนการเผาผลาญอาหารนั่นเอง ดังนั้น ประเภทอาหารที่กินจึงมีส่วนสำคัญอย่างมาก เพื่อเป็นการช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระเราจึงจำเป็นต้องรู้ว่าอาหารประเภทไหนที่ไม่ควรแตะต้อง แต่ถ้าอดใจไม่ไหวก็ควรกินแต่เพียงน้อยนิด
อาหารประเภทไขมันอิ่มตัว
อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง พบได้ในอาหารประเภทไอศกรีม ขนมกรุบกรอบ ช็อกโกแลต เนย นม กะทิ เนื้อสัตว์ติดมัน หนังไก่ อาหารแปรรูปอย่างพวก ไส้กรอก หมูแฮม เบคอน รายชื่ออาหารที่ว่านี้ล้วนเป็นตัวการที่ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพและความร่วงโรยของเซลล์ผิว
อาหารประเภทของทอด ของมันต่าง ๆ
อาหารทอดและอาหารมันต่าง ๆ เป็นประเภทที่มีไขมันอิ่มตัวสูงเมื่อกินเข้าไปมาก ๆ จะทำให้เกิดการอุดตันตามรูขุมขน เป็นต้นต่อของการเกิดสิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารประเภททอดจะมีอนุมูลอิสระซึ่งเป็นตัวการทำลายเซลล์ผิว และถ้ายิ่งเป็นอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ ๆ ควรหลีกเลี่ยงเพราะจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ
เครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีนเป็นส่วนผสม
ชา กาแฟ และน้ำอัดลม หากดื่มมากเกินจะไปทำลายความชุ่มชื้นของผิวหนัง ทำให้ผิวขาดน้ำ มีแต่ความแห้งกร้าน และขาดความสดใสเปล่งปลั่ง
อ่อนกว่าวัย ด้วย ผลไม้และผักช่วยได้
อ่อนกว่าวัย ด้วย ผลไม้
เชื่อไหมคะ การกินผลไม้สดทุกวันไม่เคยขาด บางมื้อบางวันกินแทนข้าวเสียด้วยซ้ำ แต่ละเดือนเสียเงินค่าผลไม้มากกว่าค่าข้าวเสียอีก ไม่อายเลยค่ะถ้าจะบอกว่า ทุกวันนี้ที่ดิฉันดูอ่อนกว่าวัยเพราะดิฉันเป็นประเภทบ้ากินผลไม้ แต่ไม่ต้องแปลกใจนะคะ ว่าทำไมไม่บอกว่าบ้ากินผักด้วย เพราะในอาหารแต่ละมื้อก็ต้องเลือกเมนูที่มีผักด้วยอยู่แล้ว หากลองตรึกตรองกันอย่างถี่ถ้วน การเสียเงินซื้อผักผลไม้สด ๆ มากิน คุ้มค่าเสียยิ่งกว่าการเสียเงินซื้อขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ รวมถึงขนมเค้ก และช็อกแลต เพราะนอกจากความอร่อยที่ได้จากสิ่งเหล่านี้แล้วก็ คือไขมันสะสมนั่นเอง เผลอ ๆ ขนมบางยี่ห้อราคาแพงยิ่งกว่าผลไม้บางชนิดเสียอีก ถ้าอยากมีผิวพรรณสวยใสก็ต้องกินผักผลไม้ให้มาก ๆ หรืออาจเฉพาะเจาะจงเลือกกินชนิดที่มีคุณสมบัติโดดเด่นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม เพื่อเป็นการป้องกันเซลล์ผิวไม่ให้ถูกทำร้าย และเป็นการช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้มีความชุ่มชื้น สดใสเปล่งปลั่ง และคงความอ่อนเยาว์ไว้
หลายคนอาจอยากรู้ว่าผลไม้ชนิดไหนบ้างที่จะช่วยเนรมิตผิวสวยได้ อยากจะบอกว่า ผักผลไม้ทุกชนิดล้วนดีมีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งนั้น ผิวของคุณจะสวยชัวร์ ถ้าคุณไม่ลืมที่จะกินผักผลไม้ทุกวัน และถ้าจะให้ง่ายสบายกระเป๋าสตางค์ ก็นี่เลย…กินผักผลไม้สดที่ออกตามฤดูกาล เพราะจะได้กินของคุณภาพดี ราคาถูกแถมยังหาซื้อได้ง่ายด้วย
ผักช่วยได้
ตำลึง
ตำลึงเป็นพืชผักพื้นบ้านที่หากินกันได้ตลอด 365 วัน แถมยังราคาแสนถูก ที่สำคัญใบตำลึงเต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามิน เอ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยบำรุงสายตา ช่วยขับสารพิษ และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ส่วนในเรื่องของผิวพรรณ วิตามิน เอ ช่วยดูแลผิวได้เป็นอย่างดี อาทิ ช่วยรักษาความชุ่มชื้น ไม่ทำให้ผิวแห้งหยาบ ช่วยลดการอักเสบที่เกิดจากสิว และช่วยลบเลือนจุดด่างดำ
บร็อคโคลี
บร็อคโคลีเป็นผักที่มากไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระมีคุณสมบัติช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และช่วยเสริมภูมิต้านทานร่างกายให้แข็งแรงขึ้น ที่สำคัญสารเบต้าแคโรทีน และซีลีเนียมที่อยู่ในบร็อคโคลี จะช่วยบำรุงผิว คงความแข็งแรงของผิวไว้ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอย
ผักโขม
ผักโขมเป็นผักใบเขียวที่กินแล้วจะชะลอความแก่ได้ เพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว คงความแข็งแรงของผิวไว้ และยับยั้งการเกิดริ้วรอยไม่เพียงเท่านี้ ผักโขมยังมีคุณสมบัติช่วยล้างสารพิษ และช่วยบำรุงระบบประสาท และสมองอีกด้วย
มะเขือเทศ
สารสีแดงที่ชื่อว่าไลโคพีน (Lycopene) ที่อยู่ในมะเขือเทศเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ค่อนข้างมีบทบาทสำคัญต่อร่างกายคือ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ ช่วยสร้างคอลลาเจน ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว และช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ซึ่งถือว่าเป็นการรักษาความอ่อนเยาว์ ความนุ่มนวล และความกระชับของผิว เพื่อเป็นการชะลอความร่วงโรยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
แครอท
ทุกอณูเนื้อของแครอทจะมากไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะคอยปกป้องเนื้อเยื่อเซลล์รวมถึงเซลล์ผิวไม่ให้ถูกทำร้ายจากเหล่าอนุมูลอิสระ ถือเป็นการช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ทำให้ผิวแข็งแรง และคงความสดใสเปล่งปลั่งไว้ได้เนิ่นนาน
เชื่อไหมคะ การกินผลไม้สดทุกวันไม่เคยขาด บางมื้อบางวันกินแทนข้าวเสียด้วยซ้ำ แต่ละเดือนเสียเงินค่าผลไม้มากกว่าค่าข้าวเสียอีก ไม่อายเลยค่ะถ้าจะบอกว่า ทุกวันนี้ที่ดิฉันดูอ่อนกว่าวัยเพราะดิฉันเป็นประเภทบ้ากินผลไม้ แต่ไม่ต้องแปลกใจนะคะ ว่าทำไมไม่บอกว่าบ้ากินผักด้วย เพราะในอาหารแต่ละมื้อก็ต้องเลือกเมนูที่มีผักด้วยอยู่แล้ว หากลองตรึกตรองกันอย่างถี่ถ้วน การเสียเงินซื้อผักผลไม้สด ๆ มากิน คุ้มค่าเสียยิ่งกว่าการเสียเงินซื้อขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ รวมถึงขนมเค้ก และช็อกแลต เพราะนอกจากความอร่อยที่ได้จากสิ่งเหล่านี้แล้วก็ คือไขมันสะสมนั่นเอง เผลอ ๆ ขนมบางยี่ห้อราคาแพงยิ่งกว่าผลไม้บางชนิดเสียอีก ถ้าอยากมีผิวพรรณสวยใสก็ต้องกินผักผลไม้ให้มาก ๆ หรืออาจเฉพาะเจาะจงเลือกกินชนิดที่มีคุณสมบัติโดดเด่นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม เพื่อเป็นการป้องกันเซลล์ผิวไม่ให้ถูกทำร้าย และเป็นการช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้มีความชุ่มชื้น สดใสเปล่งปลั่ง และคงความอ่อนเยาว์ไว้
หลายคนอาจอยากรู้ว่าผลไม้ชนิดไหนบ้างที่จะช่วยเนรมิตผิวสวยได้ อยากจะบอกว่า ผักผลไม้ทุกชนิดล้วนดีมีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งนั้น ผิวของคุณจะสวยชัวร์ ถ้าคุณไม่ลืมที่จะกินผักผลไม้ทุกวัน และถ้าจะให้ง่ายสบายกระเป๋าสตางค์ ก็นี่เลย…กินผักผลไม้สดที่ออกตามฤดูกาล เพราะจะได้กินของคุณภาพดี ราคาถูกแถมยังหาซื้อได้ง่ายด้วย
ผักช่วยได้
ตำลึง
ตำลึงเป็นพืชผักพื้นบ้านที่หากินกันได้ตลอด 365 วัน แถมยังราคาแสนถูก ที่สำคัญใบตำลึงเต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามิน เอ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยบำรุงสายตา ช่วยขับสารพิษ และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ส่วนในเรื่องของผิวพรรณ วิตามิน เอ ช่วยดูแลผิวได้เป็นอย่างดี อาทิ ช่วยรักษาความชุ่มชื้น ไม่ทำให้ผิวแห้งหยาบ ช่วยลดการอักเสบที่เกิดจากสิว และช่วยลบเลือนจุดด่างดำ
บร็อคโคลี
บร็อคโคลีเป็นผักที่มากไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระมีคุณสมบัติช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และช่วยเสริมภูมิต้านทานร่างกายให้แข็งแรงขึ้น ที่สำคัญสารเบต้าแคโรทีน และซีลีเนียมที่อยู่ในบร็อคโคลี จะช่วยบำรุงผิว คงความแข็งแรงของผิวไว้ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอย
ผักโขม
ผักโขมเป็นผักใบเขียวที่กินแล้วจะชะลอความแก่ได้ เพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว คงความแข็งแรงของผิวไว้ และยับยั้งการเกิดริ้วรอยไม่เพียงเท่านี้ ผักโขมยังมีคุณสมบัติช่วยล้างสารพิษ และช่วยบำรุงระบบประสาท และสมองอีกด้วย
มะเขือเทศ
สารสีแดงที่ชื่อว่าไลโคพีน (Lycopene) ที่อยู่ในมะเขือเทศเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ค่อนข้างมีบทบาทสำคัญต่อร่างกายคือ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ ช่วยสร้างคอลลาเจน ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว และช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ซึ่งถือว่าเป็นการรักษาความอ่อนเยาว์ ความนุ่มนวล และความกระชับของผิว เพื่อเป็นการชะลอความร่วงโรยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
แครอท
ทุกอณูเนื้อของแครอทจะมากไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะคอยปกป้องเนื้อเยื่อเซลล์รวมถึงเซลล์ผิวไม่ให้ถูกทำร้ายจากเหล่าอนุมูลอิสระ ถือเป็นการช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ทำให้ผิวแข็งแรง และคงความสดใสเปล่งปลั่งไว้ได้เนิ่นนาน
อย่าอายที่จะสวมแว่นกันแดด
อย่าอายที่จะสวมแว่นกันแดด
ปกป้องใบหน้าด้วยครีมกันแดดแล้ว ก็อย่าลืมปกป้องดวงตาของคุณด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะที่ต้องออกแดดทุกครั้ง เพราะดวงตาคู่สวยก็มักจะโดนแสงแดดทำลายได้เช่นเดียวกันกับผิวอานุภาพทำลายล้างของรังสี UV จากแสงแดดดูจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน หากไม่หาทางป้องกัน มีหวังดวงตาคู่สวยเป็นอันต้องหมดสวยอย่างแน่นอน แต่จะมีวิธีการใดบ้างที่สามารถดูแลและปกป้องดวงตาคู่สวยของคุณให้ห่างไกลจากการโดนแสงแดดทำลาย
การปกป้องดวงตาจากแสงแดด อาจไม่จำเป็นที่จะต้องป้องกันด้วยครีมกันแดดเสมอไป เพราะสารเคมีในครีมกันแดดนั้น อาจส่งผลทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตาของคุณได้ ฉะนั้น วิธีการป้องกันแสงแดดให้กับดวงตาน่าจะเลือกการสวมแว่นตาจะดีกว่า โดยแว่นตาที่เลือกนั้นจะต้องเป็นแว่นตาที่สามารถกรองเอารังสี UV ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้รังสีทะลุผ่านแว่นตาเข้ามาทำลายดวงตาคู่สวยของคุณ นอกจากแว่นตาจะช่วยป้องกันแสงแดดแล้ว ยังช่วยให้คุณเผชิญกับแสงแดดได้อย่างสบายตายิ่งขึ้น ไม่จำเป็นต้องหรี่ตา หยีตา หรือเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งในขณะที่มีแสงแดดสาดส่อง เพียงแค่สวมแว่นตาปัญหาการมองเห็นในที่แดดจ้าก็จะสามารถทำได้สะดวกมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังไม่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยบนใบหน้าอีกด้วย
วันนี้คุณพกแว่นตาสำหรับกันแดดไปยังที่ต่างๆหรือยัง ถ้ายังล่ะก็ควรเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลยนะคะ เพื่อถนอมดวงตาให้อยู่คู่กับเราไปนานๆ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วแสงแดดอาจทำลายดวงตาของคุณให้เสื่อมสภาพลงไปทุกวันๆ จนในที่สุดคุณก็จะมีปัญหากับดวงตานั่นเอง
ปกป้องใบหน้าด้วยครีมกันแดดแล้ว ก็อย่าลืมปกป้องดวงตาของคุณด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะที่ต้องออกแดดทุกครั้ง เพราะดวงตาคู่สวยก็มักจะโดนแสงแดดทำลายได้เช่นเดียวกันกับผิวอานุภาพทำลายล้างของรังสี UV จากแสงแดดดูจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน หากไม่หาทางป้องกัน มีหวังดวงตาคู่สวยเป็นอันต้องหมดสวยอย่างแน่นอน แต่จะมีวิธีการใดบ้างที่สามารถดูแลและปกป้องดวงตาคู่สวยของคุณให้ห่างไกลจากการโดนแสงแดดทำลาย
การปกป้องดวงตาจากแสงแดด อาจไม่จำเป็นที่จะต้องป้องกันด้วยครีมกันแดดเสมอไป เพราะสารเคมีในครีมกันแดดนั้น อาจส่งผลทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตาของคุณได้ ฉะนั้น วิธีการป้องกันแสงแดดให้กับดวงตาน่าจะเลือกการสวมแว่นตาจะดีกว่า โดยแว่นตาที่เลือกนั้นจะต้องเป็นแว่นตาที่สามารถกรองเอารังสี UV ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้รังสีทะลุผ่านแว่นตาเข้ามาทำลายดวงตาคู่สวยของคุณ นอกจากแว่นตาจะช่วยป้องกันแสงแดดแล้ว ยังช่วยให้คุณเผชิญกับแสงแดดได้อย่างสบายตายิ่งขึ้น ไม่จำเป็นต้องหรี่ตา หยีตา หรือเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งในขณะที่มีแสงแดดสาดส่อง เพียงแค่สวมแว่นตาปัญหาการมองเห็นในที่แดดจ้าก็จะสามารถทำได้สะดวกมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังไม่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยบนใบหน้าอีกด้วย
วันนี้คุณพกแว่นตาสำหรับกันแดดไปยังที่ต่างๆหรือยัง ถ้ายังล่ะก็ควรเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลยนะคะ เพื่อถนอมดวงตาให้อยู่คู่กับเราไปนานๆ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วแสงแดดอาจทำลายดวงตาของคุณให้เสื่อมสภาพลงไปทุกวันๆ จนในที่สุดคุณก็จะมีปัญหากับดวงตานั่นเอง
เมื่อมีทั้งถุงใต้ตาและรอยคล้ำควรทำอย่างไร
มีทั้งถุงใต้ตา และรอยคล้ำ
หากคุณมีปัญหาทั้งในเรื่องถุงใต้ตา และรอยหมองคล้ำใต้ตา นอกจากการแต่งหน้าเพื่อปกปิดริ้วรอย และความพกพร่องของดวงตาแล้ว คุณจะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร
เมื่อพบว่าตัวเองเริ่มมีปัญหาถุงใต้ตา และรอยคล้ำเกิดขึ้น สิ่งที่คุณมักจะนึกถึงอยู่เสมอนั่นก็คือ การแต่งหน้าเพื่อช่วยปกปิดริ้วรอย นานวันเข้าปัญหาเหล่านี้ก็ไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง สุดท้ายก็สะสมเป็นเวลานาน จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ยากจะแก้ไข เช่น ริ้วรอยแห่งวัยมาเยือนเร็วกว่าปกติ ใต้ตาคล้ำจนกลายเป็นหมีแพนด้า สร้างความกังวลใจให้กับคุณไม่ใช่น้อย เมื่อพบว่าตนเองต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าวควรรีบแก้ไขด้วยการใช้ถุงชาที่ผ่านการชงแล้วนำไปแช่เย็นจัดๆ มาประคบไว้บริเวณดวงตา เพื่อบรรเทาอาการคล้ำ พร้อมกันนี้นอนยกขาให้สูง ทิ้งไว้จนถุงชาหมดความเย็น จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง คุณสมบัติของกากชาจะช่วยแก้ปัญหาถึงใต้ตาและความหมองคล้ำได้ดี จากนั้นก่อนนอนเป็นประจำทุกคืน ควรทาด้วยอายครีม เพื่อเป็นการดูแลผิวรอบดวงตา อีกทั้งไม่ควรนอนดึก และจะต้องพักผ่อนให้เพียงพอด้วย เพื่อป้องกันไม่ใช้เกิดปัญหารอยคล้ำและถุงใต้ตาอีก
คงไม่มีใครอยากจะมีรอยคล้ำใต้ตาเป็นหมีแพนด้าใช่ไหมล่ะ หากคุณจำเป็นต้องนอนดึก หรืออยู่ในช่วงที่พักผ่อนไม่เพียงพอ แนะนำให้ลองเอาสูตรนี้ไปใช้ดูแลดวงตาคู่สวยของคุณดูสิคะ รับรองว่าดวงตาคู่สวยเคยเคยหมองคล้ำก็จะกลับมาสดชื่นและสดใสอีกครั้งหนึ่ง
หากคุณมีปัญหาทั้งในเรื่องถุงใต้ตา และรอยหมองคล้ำใต้ตา นอกจากการแต่งหน้าเพื่อปกปิดริ้วรอย และความพกพร่องของดวงตาแล้ว คุณจะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร
เมื่อพบว่าตัวเองเริ่มมีปัญหาถุงใต้ตา และรอยคล้ำเกิดขึ้น สิ่งที่คุณมักจะนึกถึงอยู่เสมอนั่นก็คือ การแต่งหน้าเพื่อช่วยปกปิดริ้วรอย นานวันเข้าปัญหาเหล่านี้ก็ไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง สุดท้ายก็สะสมเป็นเวลานาน จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ยากจะแก้ไข เช่น ริ้วรอยแห่งวัยมาเยือนเร็วกว่าปกติ ใต้ตาคล้ำจนกลายเป็นหมีแพนด้า สร้างความกังวลใจให้กับคุณไม่ใช่น้อย เมื่อพบว่าตนเองต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าวควรรีบแก้ไขด้วยการใช้ถุงชาที่ผ่านการชงแล้วนำไปแช่เย็นจัดๆ มาประคบไว้บริเวณดวงตา เพื่อบรรเทาอาการคล้ำ พร้อมกันนี้นอนยกขาให้สูง ทิ้งไว้จนถุงชาหมดความเย็น จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง คุณสมบัติของกากชาจะช่วยแก้ปัญหาถึงใต้ตาและความหมองคล้ำได้ดี จากนั้นก่อนนอนเป็นประจำทุกคืน ควรทาด้วยอายครีม เพื่อเป็นการดูแลผิวรอบดวงตา อีกทั้งไม่ควรนอนดึก และจะต้องพักผ่อนให้เพียงพอด้วย เพื่อป้องกันไม่ใช้เกิดปัญหารอยคล้ำและถุงใต้ตาอีก
คงไม่มีใครอยากจะมีรอยคล้ำใต้ตาเป็นหมีแพนด้าใช่ไหมล่ะ หากคุณจำเป็นต้องนอนดึก หรืออยู่ในช่วงที่พักผ่อนไม่เพียงพอ แนะนำให้ลองเอาสูตรนี้ไปใช้ดูแลดวงตาคู่สวยของคุณดูสิคะ รับรองว่าดวงตาคู่สวยเคยเคยหมองคล้ำก็จะกลับมาสดชื่นและสดใสอีกครั้งหนึ่ง
มีเคล็ดลับวิธีกระชับรูขุมขนมาบอก
กระชับรูขุมขน
หากความฝันของใครหลายๆคนคือการมีผิวหน้าที่เนียนละเอียดและรูขุมขนที่กระชับล่ะก็ จะมีวิธีการใดบ้างที่ทำให้ฝันของคุณนั้นเป็นจริงได้ เราจึงมีเคล็ดลับในการกระชับรูขุมขนมาบอกกันคะ
1.หมั่นรักษาความสะอาดใบหน้าอยู่เสมอ โดยเฉพาะการกำจัดน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้าและสิ่งสกปรกที่คอยอุดตันบริเวณรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวและรูขุมขนกว้างแนะนำให้ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น เพื่อชำระล้างเชื้อโรคและสิ่งสกปรกออก เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำให้ผิวหน้าแห้งตึง เพื่อช่วยทำให้รูขุมขนกระชับยิ่งขึ้น
2. สครับผิว การสครับผิวจะช่วยให้รูขุมขนสะอาดได้อย่างล้ำลึก แต่ควรทำเพียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป นอกจากนี้การสครับยังลดอัตราการเกิดรูชุมชนอุดตันได้อีกด้วย แม้การทำสครับจะมีข้อดีอยู่บ้างแต่ก็ไม่ควรทำบ่อย เพราะอาจส่งผลเสียกับผิวหน้าได้นอกจากการทำสครับแล้ว การมาส์กหน้าก็ยังสามารถช่วยกระชุบรูขุมขนได้อีกด้วย แต่ไม่ควรทำบ่อย เพราะจะทำให้ผิวหน้าแห้งการมาส์กหน้าด้วยไข่ขาวสามารถช่วยลดความกว้างของรูขุมขนลงได้ เพียงใช้ไข่ขาวทาบริเวณใบหน้าหรือบริเวณที่มีสิวเสี้ยน จากนั้นใช้กระดาษเช็ดหน้าแปะทับรีดให้เรียบ ทิ้งไว้แล้วลอกออกก็เป็นอันสำเร็จแล้ว
3. ใช้ครีมกระชับรูขุมขน เพื่อกระชับรูขุมขนให้เล็กลง เลือกชนิดที่บางเบาหรือชนิดเจล เพื่อให้สามารถซึมซาบเข้าสู่เซลล์ผิวได้ง่าย
อย่าลืมนะคะว่าผิวหน้าที่มีรูขุมขนกว้างมักมีสิ่งสกปรกอุดตันง่าย และยิ่งจะทำให้หน้าไม่เนียนนุ่มอีกด้วย ดังนั้น การล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์ชนิดออยล์ฟรี (oil free) แล้วทาผิวหน้าด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ก็สามารถช่วยให้ผิวหน้าดูกระชับลงได้แล้วล่ะคะ
หากความฝันของใครหลายๆคนคือการมีผิวหน้าที่เนียนละเอียดและรูขุมขนที่กระชับล่ะก็ จะมีวิธีการใดบ้างที่ทำให้ฝันของคุณนั้นเป็นจริงได้ เราจึงมีเคล็ดลับในการกระชับรูขุมขนมาบอกกันคะ
1.หมั่นรักษาความสะอาดใบหน้าอยู่เสมอ โดยเฉพาะการกำจัดน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้าและสิ่งสกปรกที่คอยอุดตันบริเวณรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวและรูขุมขนกว้างแนะนำให้ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น เพื่อชำระล้างเชื้อโรคและสิ่งสกปรกออก เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำให้ผิวหน้าแห้งตึง เพื่อช่วยทำให้รูขุมขนกระชับยิ่งขึ้น
2. สครับผิว การสครับผิวจะช่วยให้รูขุมขนสะอาดได้อย่างล้ำลึก แต่ควรทำเพียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป นอกจากนี้การสครับยังลดอัตราการเกิดรูชุมชนอุดตันได้อีกด้วย แม้การทำสครับจะมีข้อดีอยู่บ้างแต่ก็ไม่ควรทำบ่อย เพราะอาจส่งผลเสียกับผิวหน้าได้นอกจากการทำสครับแล้ว การมาส์กหน้าก็ยังสามารถช่วยกระชุบรูขุมขนได้อีกด้วย แต่ไม่ควรทำบ่อย เพราะจะทำให้ผิวหน้าแห้งการมาส์กหน้าด้วยไข่ขาวสามารถช่วยลดความกว้างของรูขุมขนลงได้ เพียงใช้ไข่ขาวทาบริเวณใบหน้าหรือบริเวณที่มีสิวเสี้ยน จากนั้นใช้กระดาษเช็ดหน้าแปะทับรีดให้เรียบ ทิ้งไว้แล้วลอกออกก็เป็นอันสำเร็จแล้ว
3. ใช้ครีมกระชับรูขุมขน เพื่อกระชับรูขุมขนให้เล็กลง เลือกชนิดที่บางเบาหรือชนิดเจล เพื่อให้สามารถซึมซาบเข้าสู่เซลล์ผิวได้ง่าย
อย่าลืมนะคะว่าผิวหน้าที่มีรูขุมขนกว้างมักมีสิ่งสกปรกอุดตันง่าย และยิ่งจะทำให้หน้าไม่เนียนนุ่มอีกด้วย ดังนั้น การล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์ชนิดออยล์ฟรี (oil free) แล้วทาผิวหน้าด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ก็สามารถช่วยให้ผิวหน้าดูกระชับลงได้แล้วล่ะคะ
วิธีรักษาโรคหัวใจด้วยผัก และ ผลไม้
หัวใจนั้นถือเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญกับร่างกายของเรามากที่สุดในแต่ล่ะวันนั้นหัวใจเราเต้นถึงประมาณวันล่ะหนึ่งแสนครั้งต่อวันนั่นถือเป็นอัตราการเต้นของหัวใจที่ปกติถ้าหัวใจของเรานั้นเต้นน้อยกว่านี้นั่นอาจจะเป็นสัญญาณบอกถึงอันตรายร้ายแรงเนื่องจากหัวใจนั้นเป็นส่วนหลักที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายของเราในแต่ล่ะวันนั้นหัวใจมีหน้าที่สูบฉีดเลือดและนำอ๊อกซิเจนไปเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายของเรามากถึงวันล่ะ 2,000 แกลลอน เลยทีเดียวดังนั้นหัวใจจึงถือว่ามีความความสำคัญต่อร่างกายของเรามากที่สุด สำหรับใครที่ยังไม่ทราบว่าตัวเองนั้นเป็นโรคหัวใจหรือเปล่าแนะนำให้คุณลองสังเกตอาการเหล่านี้ดูให้ดี ร่างกายรู้สึกเหนื่อยล้าง่ายๆ เช่นเวลาที่คุณออกกำลังกายเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกเหนื่อยจนแทบจะหน้ามืดแล้ว คนที่เป็นโรคหัวใจโดยส่วนมากมักจะมีอาการเจ็บ และ รู้สึกแน่นที่หน้าอกเหมือนกับว่ามีของหนักๆ มาทับที่บริเวณหน้าอกของคุณเอง มีอาการหัวใจล้มเหลว เช่น เวลานั่งอยู่เหนื่อยล้าอึดอัดเหมือนหายใจไม่ค่อยออกเวลานอนมีอาการหายใจไม่ออกจนบางครั้งอาจจะต้องนั่งหลับซึ่งเกิดจากหัวใจของคุณนั้นเต้นผิดปกตินั่นเอง นี่เป็นแค่อาการส่วนหนึ่งของคนที่ป่วยเป็นโรคหัวใจเท่านั้นถ้าคุณเริ่มมีอาการแปลกๆ หรือรู้สึกว่าหัวใจของคุณนั้นเต้นผิดปกติแนะนำให้คุณลองไปให้คุณหมอตรวจดูน่าจะดีกว่าค่ะก่อนที่จะเป็นอะไรหนักไปกว่านี้ สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจนั้นเกิดจากการขาดแร่ธาตุโปแตสเซียมทำให้เลือดในร่างกายของเรานั้นสูบฉีดมาหล่อเลี้ยงหัวใจของเราไม่เพียงพอนั่นเอง ดังนั้นคุณควรที่จะรับประทานผัก และ ผลไม้ ที่มีโปแตสเซียมสูง ดังนี้ มะเขือเทศ กล้วย ส้ม สับปะรด ใบโหระพา เกสรดอกไม้ ข้าวโพด รากบัว ผักกวางตุ้ง เก๊กฮวย ใบเตย ผักชี ถั่วแดง ซึ่งผักและผลไม้เหล่านี้ล้วนมีโปแตสเซียมสูงทั้งนั้นซึ่งจำเป็นมากๆ ต่อหัวใจของเราเองเป็นอย่างมาก และ ที่สำคัญคุณควรที่จะทราบเอาไว้ด้วยว่ามีอาหารบางประเภทที่ไม่เหมาะที่จะรับประทานอย่างยิ่งเพราะจะเกิดผลเสียต่อร่างกายของเราเอง ของหมักดอง ข้าวเหนียว เต้าหู้ เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ทุกชนิด รวมถึงพวกถั่วทุกชนิดยกเว้นเพียงถั่วแดงอย่างเดียวเท่านั้นที่ไม่เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
ดังนั้นใครที่กลัวหรือคิดว่าหัวใจของคุณนั้นเริ่มผิดปกติรีบไปให้หมอตรวจ และ ควรที่จะรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราพวกอาหารของขวานขนมที่มีความมันเยอะๆ ไม่ควรที่จะรับประทานบ่อยเพราะไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายของคุณเองอย่างแรงและอาจจะนำไปสู่โรคเบาหวานได้อีกด้วย บางท่านอาจจะสงสัยว่าการรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำนั้นมันสามารถที่จะช่วยเราจากโรคหัวใจ และ โรคต่างๆ ได้จริงหรือจริงๆ แล้วผัก และ ผลไม้ นั้นมีประโยชน์มากมายและช่วยเราจากโรคต่างๆ ได้จริงๆ เนื่องจากมีทั้งประโยชน์ และ มีวิตามินนานาชนิดที่มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบต่างๆ ภายในร่างกายของเราได้จริงๆ ตามที่บอกไปเบื้องต้นค่ะ นอกจากนี้การออกกำลังกายก็ยังมีส่วนช่วยในการทำให้ร่างกายของคุณนั้นแข็งแรงและมีภูมิคุ้มกันในการป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้อีกด้วยคุณไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายแบบหักโหมแต่ออกกำลังกายวันล่ะประมาณ 15-30 นาที เพื่อให้สุขภาพและร่างกายของคุณนั้นเกิดความแข็งแรงขึ้นและควรที่จะหมั่นดื่มน้ำเปล่าบ่อยๆ เพื่อล้างพิษออกจากร่างกายด้วย นอนและพักผ่อนให้เพียงพอหมั่นทำจิตใจให้สงบอย่าเครียดหรือคิดมากจนเกินไปเพราะความเครียดนำไปสู่สภาวะทำให้ร่างกายเกิดความอ่อนแอ และ ความอ่อนล้านั่นเอง
สุดท้ายนี้ท่านใดที่ป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่แนะนำให้คุณหมั่นรับประทานยาตามที่คุณหมอสั่งและดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของตัวเองให้ดีๆ อย่าคิดมากจนความดันขึ้นนะค่ะเพราะอาจจะทำให้หัวใจของคุณนั้นเกิดความอ่อนหล้าซึ่งอาจจะทำให้หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้
ดังนั้นใครที่กลัวหรือคิดว่าหัวใจของคุณนั้นเริ่มผิดปกติรีบไปให้หมอตรวจ และ ควรที่จะรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราพวกอาหารของขวานขนมที่มีความมันเยอะๆ ไม่ควรที่จะรับประทานบ่อยเพราะไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายของคุณเองอย่างแรงและอาจจะนำไปสู่โรคเบาหวานได้อีกด้วย บางท่านอาจจะสงสัยว่าการรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำนั้นมันสามารถที่จะช่วยเราจากโรคหัวใจ และ โรคต่างๆ ได้จริงหรือจริงๆ แล้วผัก และ ผลไม้ นั้นมีประโยชน์มากมายและช่วยเราจากโรคต่างๆ ได้จริงๆ เนื่องจากมีทั้งประโยชน์ และ มีวิตามินนานาชนิดที่มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบต่างๆ ภายในร่างกายของเราได้จริงๆ ตามที่บอกไปเบื้องต้นค่ะ นอกจากนี้การออกกำลังกายก็ยังมีส่วนช่วยในการทำให้ร่างกายของคุณนั้นแข็งแรงและมีภูมิคุ้มกันในการป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้อีกด้วยคุณไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายแบบหักโหมแต่ออกกำลังกายวันล่ะประมาณ 15-30 นาที เพื่อให้สุขภาพและร่างกายของคุณนั้นเกิดความแข็งแรงขึ้นและควรที่จะหมั่นดื่มน้ำเปล่าบ่อยๆ เพื่อล้างพิษออกจากร่างกายด้วย นอนและพักผ่อนให้เพียงพอหมั่นทำจิตใจให้สงบอย่าเครียดหรือคิดมากจนเกินไปเพราะความเครียดนำไปสู่สภาวะทำให้ร่างกายเกิดความอ่อนแอ และ ความอ่อนล้านั่นเอง
สุดท้ายนี้ท่านใดที่ป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่แนะนำให้คุณหมั่นรับประทานยาตามที่คุณหมอสั่งและดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของตัวเองให้ดีๆ อย่าคิดมากจนความดันขึ้นนะค่ะเพราะอาจจะทำให้หัวใจของคุณนั้นเกิดความอ่อนหล้าซึ่งอาจจะทำให้หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้
ป้ายกำกับ:
ผักผลไม้
,
โรค
,
วิธี
,
สมุนไพร
,
สุขภาพความงาม
,
หัวใจวาย
เขียนโดย
อ้อยิ้ม
ไม่มีความคิดเห็น
:

วิธีดูแลตัวเองจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดด้วย ผัก และ ผลไม้
ดูแลตัวเองจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดด้วย ผัก และ ผลไม้
โดยส่วนมากโรคนี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ตกอยู่ในภาวะขาดแร่ธาตุโปแตสเซียมโดยส่วนใหญ่ถือเป็นปัจจัยหลักเลยก็ว่าได้ที่ทำให้เลือดของเรานั้นถ่ายออกมาเลี้ยงกล้ามเนื้อที่บริเวณหัวใจของเราได้ไม่เพียงพอนั่นเองถือเป็นเรื่องใหญ่นะค่ะเพราะถ้าเราเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจะเกิดภาวะผิดปกติขึ้นกับร่างกายของเรามากมายเลยทีเดียวคนที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจะมีอาการเจ็บเกิดขึ้นที่บริเวณหัวใจ และ บริเวณลิ้นปี่ซึ่งในระยะแรกนั้นจะมีอาการปวดจี๊ดๆ ขึ้นมาเฉียบพลัน หรือ ในบางรายอาจจะมีอาการปวดแถวบริเวณช่วงลำคอ มีอาการเหงื่อท่วมตัวเวลานอนหรืออาจจะมีเหงื่ออกที่มือบ่อยๆ ถ้าใครเริ่มมีอาการแปลกๆ แนะนำให้คุณลองเข้ารับการตรวจร่างกายกับคุณหมอดูเพื่อความปลอดภัยนค่ะไม่ควรที่จะปล่อยไปนะค่ะเพราะถ้าเป็นนานวันเข้าอาการอาจจะหนักขึ้นได้ค่ะถ้าคุณไม่ดูแลรักษาตัวเองอย่างถูกวิธีและนอกจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจจะทำให้เรารู้สึกทรมานแล้วยังอาจจะทำให้มีผลกระทบกับชีวิตประจำวันของคุณเองอีกด้วยเพราะคนส่วนมากที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีอาการเครียดบ่อยๆ จนบางครั้งวิตกกังวนเกินไปซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้มีปัญหาต่อการเข้าสังคมเป็นอย่างมากเพราะคุณจะหงุดหงิดโมโหได้ง่ายๆ บางครั้งไม่มีเหตุผลเลยด้วยซ้ำ และ โรคนี้ยังมีอันตรายถึงชีวิตอีกด้วยเช่นบางครั้งผู้ป่วยโรคนี้อาจจะไหลตายเอาได้ง่ายๆ โดยส่วนมากมักจะเกิดขึ้นเมื่อเลือดภายในร่างกายของเรานั้นไปหล่อเลี้ยงร่างกายของเราไม่ทันนั่นเองดังนั้นวิธีแก้ปัญหาที่คุณควรที่จะแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุนั่นคือคุณควรที่จะรับประทานผักและผลไม้ที่มีโปแตสเซียมประกอบเพื่อรักษาหรือเรียกอีกอย่างว่าบำบัดรักษาตัวเองจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดนั่นเอง แต่ว่ายังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่อาจจะทำให้คุณเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดคือคุณมีปริมาณไขมันในเส้นเลือดมากจนไปอุดตันระบบเลือดของคุณเองซึ่งอาจจะนำคุณไปสู่อีกโรคคือโรคลิ้นหัวใจรั่วลิ่มเลือดของคุณจะเข้าไปอุดตันทำให้เลือดของคุณนั้นไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้ไม่ดีดังนั้นใครที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดคุณควรที่จะเริ่มดูแลรักษาสุขภาพของตัวคุณเองด้วยการรับประทานผักที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของคุณ และ ผลไม้ ดังนี้
ผัก และ ผลไม้ บำบัดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
1.มะเขือเทศ ใช่ค่ะการรับประทานมะเขือเทศสดๆ ลูกสีแดงๆ นี่แหละค่ะที่สามารถช่วยบำบัดและรักษาเราได้ส่วนใครที่ไม่ค่อยชอบกินมะเขือเทศเพราะมีรสเปรี้ยวล่ะก็นำมาประกอบเป็นอาหารแล้วค่อยรับประทานก็ได้ค่ะจะได้ทานได้ง่ายขึ้น
2.กล้วย ถือว่าเป็นผลไม้ที่ทั้งมีประโยชน์และอุดมไปด้วยวิตามินจำนวนมากดังนั้นเราจะสังเกตเห็นได้จากทารกแรกเกิดที่แม่มักจะบดกล้วยให้เด็กทารกรับประทานเนื่องจากมีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก
ผัก และ ผลไม้ บำบัดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
1.มะเขือเทศ ใช่ค่ะการรับประทานมะเขือเทศสดๆ ลูกสีแดงๆ นี่แหละค่ะที่สามารถช่วยบำบัดและรักษาเราได้ส่วนใครที่ไม่ค่อยชอบกินมะเขือเทศเพราะมีรสเปรี้ยวล่ะก็นำมาประกอบเป็นอาหารแล้วค่อยรับประทานก็ได้ค่ะจะได้ทานได้ง่ายขึ้น
2.กล้วย ถือว่าเป็นผลไม้ที่ทั้งมีประโยชน์และอุดมไปด้วยวิตามินจำนวนมากดังนั้นเราจะสังเกตเห็นได้จากทารกแรกเกิดที่แม่มักจะบดกล้วยให้เด็กทารกรับประทานเนื่องจากมีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก
ป้ายกำกับ:
ผักผลไม้
,
โรค
,
วิธี
,
สมุนไพร
,
สุขภาพความงาม
,
หัวใจวาย
เขียนโดย
อ้อยิ้ม
ไม่มีความคิดเห็น
:

ใช้แตงกวากับมันฝรั่งบำรุงฟื้นฟูผิวรอบดวงตาได้ผลดี
แตงกวา มันฝรั่ง และดวงตา
แตงกวาและมันฝรั่งเป็นพืชที่สามารถใช้บำรุงและฟื้นฟูผิวรอบดวงตาได้มากๆ เช่น ลดรอยหมองคล้ำใต้ดวงตา และชื้นความชุ่มชื้นให้กับผิวสวยของคุณ เป็นต้น ทั้งแตงกวาและมันฝรั่งก็สามารถทำได้ค่อนข้างดี ไม่ต่างกับพืชและผักชนิดอื่นๆ
เคล็ดลับในการใช้แตงกวาดูแลผิวรอบดวงตา ทำได้โดยหั่นแตงกวาบางๆ แล้วนำไปแช่เย็นนำมาแตงกวาที่เย็นจัดมาวางไว้ที่บริเวณรอบดวงตา และใบหน้าจะช่วยทำให้รอบหมองคล้ำใต้ตาหายไป ที่สำคัญยังทำให้ผิวสดชื่นขึ้นด้วย นอกเหนือจากนี้อาจนำแตงกวามาปั่นเอาแต่น้ำ ใช้สำลีหรือผ้าขนหนูชุบน้ำแตงกวาที่ได้ให้ชุ่มนำมาปิดตาไว้ 15 – 20 นาที วิธีนี้ก็จะช่วยลดริ้วรอยและอาการตาบวมแดงได้เช่นเดียวกัน
สำหรับมันฝรั่งนั้น สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาจุดบกพร่องของดวงตาได้ โดยนำมันฝรั่งขนาดเหมาะมือ ล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อยหั่นเป็นชิ้นบางๆ นำไปแช่เย็นจัด จากนั้นจึงนำออกมาวางปิดไว้ที่บริเวณรอบดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที ทำเช่นนี้เช้าและเย็น จะช่วยลดรอยหมองคล้ำใต้ตาให้ลดลงได้ หลังจากที่เอามันฝรั่งออกก็อย่าลืม ล้างทำความสะอาดใบหน้า แล้วบำรุงผิวใต้ตาด้วยอายครีมอีกครั้ง เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะคะ
สูตรการใช้แตงกวาน่าจะเหมาะกับผู้ที่มีปัญหารอยหมองคล้ำใต้ตา แต่สำหรับมันฝรั่งจะได้ผลมากกว่ากับผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตา หากคุณมีปัญหาใดปัญหาหนึ่งก็ลองนำเคล็ดลับที่นำมาฝากกันนี้ไปใช้ดูนะคะ
แตงกวาและมันฝรั่งเป็นพืชที่สามารถใช้บำรุงและฟื้นฟูผิวรอบดวงตาได้มากๆ เช่น ลดรอยหมองคล้ำใต้ดวงตา และชื้นความชุ่มชื้นให้กับผิวสวยของคุณ เป็นต้น ทั้งแตงกวาและมันฝรั่งก็สามารถทำได้ค่อนข้างดี ไม่ต่างกับพืชและผักชนิดอื่นๆ
เคล็ดลับในการใช้แตงกวาดูแลผิวรอบดวงตา ทำได้โดยหั่นแตงกวาบางๆ แล้วนำไปแช่เย็นนำมาแตงกวาที่เย็นจัดมาวางไว้ที่บริเวณรอบดวงตา และใบหน้าจะช่วยทำให้รอบหมองคล้ำใต้ตาหายไป ที่สำคัญยังทำให้ผิวสดชื่นขึ้นด้วย นอกเหนือจากนี้อาจนำแตงกวามาปั่นเอาแต่น้ำ ใช้สำลีหรือผ้าขนหนูชุบน้ำแตงกวาที่ได้ให้ชุ่มนำมาปิดตาไว้ 15 – 20 นาที วิธีนี้ก็จะช่วยลดริ้วรอยและอาการตาบวมแดงได้เช่นเดียวกัน
สำหรับมันฝรั่งนั้น สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาจุดบกพร่องของดวงตาได้ โดยนำมันฝรั่งขนาดเหมาะมือ ล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อยหั่นเป็นชิ้นบางๆ นำไปแช่เย็นจัด จากนั้นจึงนำออกมาวางปิดไว้ที่บริเวณรอบดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที ทำเช่นนี้เช้าและเย็น จะช่วยลดรอยหมองคล้ำใต้ตาให้ลดลงได้ หลังจากที่เอามันฝรั่งออกก็อย่าลืม ล้างทำความสะอาดใบหน้า แล้วบำรุงผิวใต้ตาด้วยอายครีมอีกครั้ง เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะคะ
สูตรการใช้แตงกวาน่าจะเหมาะกับผู้ที่มีปัญหารอยหมองคล้ำใต้ตา แต่สำหรับมันฝรั่งจะได้ผลมากกว่ากับผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตา หากคุณมีปัญหาใดปัญหาหนึ่งก็ลองนำเคล็ดลับที่นำมาฝากกันนี้ไปใช้ดูนะคะ
มารู้จักผิวพรรณของคุณและวิธีดูแลผิวให้ชุ่มชื่นสดใสอยู่เสมอ
รู้จักผิวพรรณของคุณดีแล้วหรือยัง
ก่อนจะดูและผิดพรรณทั่วเรือนร่างให้สวยใส เราควรจะมาทำความรู้จักกับลักษณะของผิดคนเราให้ถ่องแท้ก่อนดีกว่า เพราะผิวแต่ละประเภทนั้น ต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน
ผิวพรรณคนเรานั้นถ้าแบ่งตามหลักใหญ่ๆ ก็จะมี 5 ประเภท คือ ลองสังเกตดูว่าผิวของคุณตรงกับคุณลักษณะของผิวประเภทใด เพื่อจะได้เลือกสรรการดูแลได้อย่างถูกต้องในลำดับต่อไป
1. ผิวมัน ลักษณะของผิวมันคือผิวที่มีรูขุมขนค่อนข้างใหญ่ พื้นผิวมีความมันเยิ้มง่าย เพราะต่อมน้ำมันใต้ผิวหนังทำงานมากจนเกินระดับปกติ แทนที่จะมีความชุ่มชื้นกำลังดี แต่กลับมีมากจนเกินไป เป็นเหตุให้เกิดเหงื่อผุดซึมง่ายและเกิดสิวง่าย คนผิวมันส่วนใหญ่จะมีลัษณะของเส้นผมที่มันด้วย หนังศีระษะจังเกิดรังแคง่าย คนผิวมันจะไม่ค่อยมีริ้วรอย และการลอกแห้งเป็นขุยๆ ที่ใบหน้า แต่ก็เกิดสิวง่ายและแต่งหน้ายาก
2. ผิวแห้ง ผิวที่มีความแห้งมากกว่าปกติ จะเป็นลักษณะของผิวที่ขาดความชุ่มชื้น จึงเป็นขุยๆ ได้ง่ายที่ใบหน้า มีลักษณะของริ้วรอยหรือมีความแห้ง-การลอกได้ง่าย ผิวกายหรือที่แขนขาก็พลอยมีอาการตึงแห้งและกร้านได้ง่ายๆ เวลาไปตากตรำกับลมและแดด หรือแม้กระทั่งเวลาอยู่ในห้องแอร์นานๆ
ผิวแห้งจะขาดความชุ่มชื้นและความเปล่งปลั่งเต่งตึง เพราะต่อมน้ำมันขาดประสิทธิภาพในการทำงาน ผิวจึงดูเหมือนขาดน้ำมาหล่อเลี้ยงให้ดูผุดผาดตามที่ควรจะเป็น
3. ผิวผสม คนที่มีผิวผสมใช่ว่าจะดีกว่าผิวมันและผิวแห้ง เพราะผิวก็มีจุดบกพร่อง และต้องการการดูแลทะนุบำรุงอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกันเนื่องจากการที่มีทั้งคุณลักษณะของผิวมันและผิวแห้งรวมอยู่ด้วยกันใบหน้าจึงมีทั้งบริเวณที่แห้งตึงง่าย และมีทั้งบริเวณที่เป็นมันง่าย ส่วนที่มีความมันเยิ้มง่ายก็คือจุดทีโซน(T-Zone) คือบริเวณหน้าผาก โหนกแก้มทั้ง 2 ข้าง จมูก และคาง
4. ผิวธรรมดา ลักษณะของผิวธรรมดาเป็นผิวที่น่าพอใจ และไร้ปัญหาที่สุดเพราะเป็นผิวที่มีความชุ่มชื้นกำลังดี ไม่มันเยิ้มง่าย และไม่แห้งกร้านง่ายจนเกินไป เนื้อผิวมีความเปล่งปลั่งชุ่มชื้น และไม่เกิดปัญหาง่ายสัมผัสดูจะรู้สึกได้ว่ามีความเรียบเนียนได้เกิดสิวง่าย ไม่เป็นขุยๆ หรือรู้สึกแห้งตึงจนเกินไป
5. ผิวเสีย ลักษณะของผิวเสียนั้นไม่ใช่ลักษณะถาวรของคนเรา เพราะคนที่มีผิวมัน ผิวแห้ง ผิวผสม ก็อาจประสบกับภาวะผิวเสียได้ในบางช่วง เช่นเวลาไปทะเลนานๆ หลายวันแล้วไม่ได้มีการบำรุงและป้องกันที่ดี ก็จะเกิดผิวเสียไปได้เนิ่นนานเหมือนกัน ผิวเสียมีลักษณะหลายอย่าง อาจจะเกิดฝ้า เช่น จุดกระ จุดด่างดำ หรืออาจจะเป็นสิวอักเสบเรื้อรังในบริเวณกว้าง เป็นต้น
ผิวที่มีความมันเยิ้มหรือแห้งการ้านจนเกินไป ถือได้ว่าเป็นลักษณะของผิวเสีย ผิวเช่นนี้จะมีปัญหาหลายอย่าง ดูแล้วมีริ้วรอย มีความหมองคล้ำไม่สดใส เนื้อผิวไม่เรียบ ไม่นุ่มนวล ถ้ามีอาการดังกล่าวมานี้ ก็ต้องรีบดูแลฟื้นฟูผิวเป็นการด่วน เพราะสภาพผิวเสียก็สามารถกลับคืนสู่ผิวที่ดีและมีความสวยใสได้อย่างแน่นอน
การดูแลผิวแต่ละประเภท
1. ผิวมัน
- ล้างหน้าระหว่างวันสัก 1-2 ครั้ง ล้างน้ำเปล่าก็ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้โฟมหรือสบู่ล้างหน้า
- ก่อนนอนอาจใช้น้ำแตงกวาคั้นสดล้างหน้าบ้างก็ได้ แต่โฟมล้านหน้าในตอนเช้าที่ใช้เป็นประจำ ควรเป็นชนิดที่ระบุว่าใช้กับผิวมันโดยเฉพาะ
- สบู่หรือครีมอาบน้ำก็ควรเลือกชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ หรืออุดมด้วยครีมต่างๆ มากนัก
- ควรมี “โทเนอร์” หรือ”เอสตรินเจนต์” เช็ดใบหน้าเพื่อขจัดคราบน้ำมัน
- การเลือกครีมบำรุงควรเป็นชนิด “light” ที่มีเนื้อครีมบางเบาซึมซาบและแห้งง่าย
- ครีมรองพื้นและแป้งแต่งหน้าให้เลือกแบบ “oil free” ที่ใช้ลดความมัน อายแชโดว์และบลัชออนปัดแก้มให้ใช้แบบฝุ่นจะดีกว่าแบบครีม
- ทุกสัปดาห์ควรพอกหน้าด้วยสูตรธรรมชาติที่เหมาะกับผิวมันโดยเฉพาะ
2. ผิวแห้ง
- คนที่มีผิวแห้งไม่ต้องล้างหน้าบ่อยๆ ตอนเช้าบางวัน อาจใช้มนเปรี้ยวล้างหน้าบ้างก็ได้
- หลังล้างหน้าไม่จำเป้ฯต้องใช้โทเนอร์ชนิดเอสตินเจนต์ แต่ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ชนิดเข้มข้น เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้า ก่อนเข้านอนก็ควรใช้ครีมบำรุงผิวหน้าที่ระบุว่าใช้เฉพาะยามค่ำคืนด้วย เพื่อให้ตื่น่ขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าที่นวลนุ่มชุ่มชื้น
- ส่วนผิวกายก็ตอ้งเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดุดมไปด้วยครีมบำรุงเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นครีมอาบน้ำหรือครีมทาผิวกาย
- อย่าลืมพอกหน้าสัปดาห์ละครั้งด้วยสูตรธรรมชาติ ที่ระบุว่าเหมาะสมกับคนผิวแห้ง
- เวลาแต่งหน้าให้เลือกบลัชออนชนิดครีม การเลือกรองพื้นและแป้งก็ต้องเลือกชนิดที่เหมาะกับผิวแห้ง มิฉะนั้นใบหน้าจะเป็นขุยได้ง่าย
3. ผิวผสม
- สำหรับผิวผสมนั้นไม่จำเป็นต้องใช้สบู่ล้างหน้าที่แรงนัก อาจใช้ชนิดอ่อนๆ สำหรับเด็กก็ได้ เวลาจะใช้โทเนอร์เช็ดหน้าหรือจะลงรองพื้น ก็ไม่จำเป็นต้องทาทั้งหน้า ให้แต้มที่บางจุดก็เพียงพอแล้ว โดยโทเนอร์ให้เช็ดบริเวณทีโซน ส่วนรองพื้นก็แต้มบริเวณส่วนที่ค่อนข้างแห้งก็ได้
- ใช้มอยส์เจอไรเซอร์กับผิวกายเฉพาะบริเวณที่ค่อนข้างแห้ง ไม่ต้องชโลมทั่วตัว เลือกใช้ครีมชนิดบางเบา เพื่อจะใช้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะผิวแห้งหรือผิวมัน
- แตะครีมบำรุงแต้มใบหน้าบ้างในเวลาก่อนนอน โดยเลือกเฉพาะบริเวณที่มีผิวค่อนข้างแห้งเท่านั้น
4. ผิวแพ้ง่าย
- สำหรับผิวแพ้ง่ายนั้นจำเป็นต้องระวังค่อนข้างมาก ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดอ่อนๆ และควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องผิวโดยตรง
- เวลาจะออกไปตากแดดตากลมก็ควรใช้ครีมกันแดดทาปกป้องผิวเสมอ ควรเลือกใช้เครื่องสำอางต่างๆ ต้องพิถีพิถันและระมัดระวังมาก ปัจจุบันมีหลายผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าเหมาะสำหรับผิวแพ้ง่ายด้วย
5. ผิวเสีย
- ระหว่างที่ผิวเสียต้องปรึกษาแพทย์เพื่อการเลือกผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้เหมาะสม
- การจะใช้ครีมบำรุงหรือสบู่ล้างหน้าก็ควรเลือกอย่างอ่อนๆ ส่วนเครื่องสำอางหรือการแต่งหน้าต่างๆ นั้นควรงดโดยเด็ดขาด เพื่อรักษาและฟื้นฟูผิวให้หายดีเสียก่อน
6. ผิดธรรมดา
- แม้จะจัดว่าเป็นผิวที่น่าพอใจแล้ว แต่คุณก็ยังต้องดูแลอย่างเหมาะสมด้วย เช่น หมั่นใช้ครีมบำรุงเพิ่มความชุ่มชื่นที่พอเหมาะให้ผิว และหมั่นพอกหน้าหรือใช้สูตรธรรมชาติต่างๆ บำรุงผิวทั่วเรือนร่างบ้างเพื่อมิให้สภาพของผิวเปลี่ยนไปตามมลภาวะต่างๆ
ก่อนจะดูและผิดพรรณทั่วเรือนร่างให้สวยใส เราควรจะมาทำความรู้จักกับลักษณะของผิดคนเราให้ถ่องแท้ก่อนดีกว่า เพราะผิวแต่ละประเภทนั้น ต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน
ผิวพรรณคนเรานั้นถ้าแบ่งตามหลักใหญ่ๆ ก็จะมี 5 ประเภท คือ ลองสังเกตดูว่าผิวของคุณตรงกับคุณลักษณะของผิวประเภทใด เพื่อจะได้เลือกสรรการดูแลได้อย่างถูกต้องในลำดับต่อไป
1. ผิวมัน ลักษณะของผิวมันคือผิวที่มีรูขุมขนค่อนข้างใหญ่ พื้นผิวมีความมันเยิ้มง่าย เพราะต่อมน้ำมันใต้ผิวหนังทำงานมากจนเกินระดับปกติ แทนที่จะมีความชุ่มชื้นกำลังดี แต่กลับมีมากจนเกินไป เป็นเหตุให้เกิดเหงื่อผุดซึมง่ายและเกิดสิวง่าย คนผิวมันส่วนใหญ่จะมีลัษณะของเส้นผมที่มันด้วย หนังศีระษะจังเกิดรังแคง่าย คนผิวมันจะไม่ค่อยมีริ้วรอย และการลอกแห้งเป็นขุยๆ ที่ใบหน้า แต่ก็เกิดสิวง่ายและแต่งหน้ายาก
2. ผิวแห้ง ผิวที่มีความแห้งมากกว่าปกติ จะเป็นลักษณะของผิวที่ขาดความชุ่มชื้น จึงเป็นขุยๆ ได้ง่ายที่ใบหน้า มีลักษณะของริ้วรอยหรือมีความแห้ง-การลอกได้ง่าย ผิวกายหรือที่แขนขาก็พลอยมีอาการตึงแห้งและกร้านได้ง่ายๆ เวลาไปตากตรำกับลมและแดด หรือแม้กระทั่งเวลาอยู่ในห้องแอร์นานๆ
ผิวแห้งจะขาดความชุ่มชื้นและความเปล่งปลั่งเต่งตึง เพราะต่อมน้ำมันขาดประสิทธิภาพในการทำงาน ผิวจึงดูเหมือนขาดน้ำมาหล่อเลี้ยงให้ดูผุดผาดตามที่ควรจะเป็น
3. ผิวผสม คนที่มีผิวผสมใช่ว่าจะดีกว่าผิวมันและผิวแห้ง เพราะผิวก็มีจุดบกพร่อง และต้องการการดูแลทะนุบำรุงอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกันเนื่องจากการที่มีทั้งคุณลักษณะของผิวมันและผิวแห้งรวมอยู่ด้วยกันใบหน้าจึงมีทั้งบริเวณที่แห้งตึงง่าย และมีทั้งบริเวณที่เป็นมันง่าย ส่วนที่มีความมันเยิ้มง่ายก็คือจุดทีโซน(T-Zone) คือบริเวณหน้าผาก โหนกแก้มทั้ง 2 ข้าง จมูก และคาง
4. ผิวธรรมดา ลักษณะของผิวธรรมดาเป็นผิวที่น่าพอใจ และไร้ปัญหาที่สุดเพราะเป็นผิวที่มีความชุ่มชื้นกำลังดี ไม่มันเยิ้มง่าย และไม่แห้งกร้านง่ายจนเกินไป เนื้อผิวมีความเปล่งปลั่งชุ่มชื้น และไม่เกิดปัญหาง่ายสัมผัสดูจะรู้สึกได้ว่ามีความเรียบเนียนได้เกิดสิวง่าย ไม่เป็นขุยๆ หรือรู้สึกแห้งตึงจนเกินไป
5. ผิวเสีย ลักษณะของผิวเสียนั้นไม่ใช่ลักษณะถาวรของคนเรา เพราะคนที่มีผิวมัน ผิวแห้ง ผิวผสม ก็อาจประสบกับภาวะผิวเสียได้ในบางช่วง เช่นเวลาไปทะเลนานๆ หลายวันแล้วไม่ได้มีการบำรุงและป้องกันที่ดี ก็จะเกิดผิวเสียไปได้เนิ่นนานเหมือนกัน ผิวเสียมีลักษณะหลายอย่าง อาจจะเกิดฝ้า เช่น จุดกระ จุดด่างดำ หรืออาจจะเป็นสิวอักเสบเรื้อรังในบริเวณกว้าง เป็นต้น
ผิวที่มีความมันเยิ้มหรือแห้งการ้านจนเกินไป ถือได้ว่าเป็นลักษณะของผิวเสีย ผิวเช่นนี้จะมีปัญหาหลายอย่าง ดูแล้วมีริ้วรอย มีความหมองคล้ำไม่สดใส เนื้อผิวไม่เรียบ ไม่นุ่มนวล ถ้ามีอาการดังกล่าวมานี้ ก็ต้องรีบดูแลฟื้นฟูผิวเป็นการด่วน เพราะสภาพผิวเสียก็สามารถกลับคืนสู่ผิวที่ดีและมีความสวยใสได้อย่างแน่นอน
การดูแลผิวแต่ละประเภท
1. ผิวมัน
- ล้างหน้าระหว่างวันสัก 1-2 ครั้ง ล้างน้ำเปล่าก็ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้โฟมหรือสบู่ล้างหน้า
- ก่อนนอนอาจใช้น้ำแตงกวาคั้นสดล้างหน้าบ้างก็ได้ แต่โฟมล้านหน้าในตอนเช้าที่ใช้เป็นประจำ ควรเป็นชนิดที่ระบุว่าใช้กับผิวมันโดยเฉพาะ
- สบู่หรือครีมอาบน้ำก็ควรเลือกชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ หรืออุดมด้วยครีมต่างๆ มากนัก
- ควรมี “โทเนอร์” หรือ”เอสตรินเจนต์” เช็ดใบหน้าเพื่อขจัดคราบน้ำมัน
- การเลือกครีมบำรุงควรเป็นชนิด “light” ที่มีเนื้อครีมบางเบาซึมซาบและแห้งง่าย
- ครีมรองพื้นและแป้งแต่งหน้าให้เลือกแบบ “oil free” ที่ใช้ลดความมัน อายแชโดว์และบลัชออนปัดแก้มให้ใช้แบบฝุ่นจะดีกว่าแบบครีม
- ทุกสัปดาห์ควรพอกหน้าด้วยสูตรธรรมชาติที่เหมาะกับผิวมันโดยเฉพาะ
2. ผิวแห้ง
- คนที่มีผิวแห้งไม่ต้องล้างหน้าบ่อยๆ ตอนเช้าบางวัน อาจใช้มนเปรี้ยวล้างหน้าบ้างก็ได้
- หลังล้างหน้าไม่จำเป้ฯต้องใช้โทเนอร์ชนิดเอสตินเจนต์ แต่ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ชนิดเข้มข้น เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้า ก่อนเข้านอนก็ควรใช้ครีมบำรุงผิวหน้าที่ระบุว่าใช้เฉพาะยามค่ำคืนด้วย เพื่อให้ตื่น่ขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าที่นวลนุ่มชุ่มชื้น
- ส่วนผิวกายก็ตอ้งเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดุดมไปด้วยครีมบำรุงเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นครีมอาบน้ำหรือครีมทาผิวกาย
- อย่าลืมพอกหน้าสัปดาห์ละครั้งด้วยสูตรธรรมชาติ ที่ระบุว่าเหมาะสมกับคนผิวแห้ง
- เวลาแต่งหน้าให้เลือกบลัชออนชนิดครีม การเลือกรองพื้นและแป้งก็ต้องเลือกชนิดที่เหมาะกับผิวแห้ง มิฉะนั้นใบหน้าจะเป็นขุยได้ง่าย
3. ผิวผสม
- สำหรับผิวผสมนั้นไม่จำเป็นต้องใช้สบู่ล้างหน้าที่แรงนัก อาจใช้ชนิดอ่อนๆ สำหรับเด็กก็ได้ เวลาจะใช้โทเนอร์เช็ดหน้าหรือจะลงรองพื้น ก็ไม่จำเป็นต้องทาทั้งหน้า ให้แต้มที่บางจุดก็เพียงพอแล้ว โดยโทเนอร์ให้เช็ดบริเวณทีโซน ส่วนรองพื้นก็แต้มบริเวณส่วนที่ค่อนข้างแห้งก็ได้
- ใช้มอยส์เจอไรเซอร์กับผิวกายเฉพาะบริเวณที่ค่อนข้างแห้ง ไม่ต้องชโลมทั่วตัว เลือกใช้ครีมชนิดบางเบา เพื่อจะใช้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะผิวแห้งหรือผิวมัน
- แตะครีมบำรุงแต้มใบหน้าบ้างในเวลาก่อนนอน โดยเลือกเฉพาะบริเวณที่มีผิวค่อนข้างแห้งเท่านั้น
4. ผิวแพ้ง่าย
- สำหรับผิวแพ้ง่ายนั้นจำเป็นต้องระวังค่อนข้างมาก ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดอ่อนๆ และควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องผิวโดยตรง
- เวลาจะออกไปตากแดดตากลมก็ควรใช้ครีมกันแดดทาปกป้องผิวเสมอ ควรเลือกใช้เครื่องสำอางต่างๆ ต้องพิถีพิถันและระมัดระวังมาก ปัจจุบันมีหลายผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าเหมาะสำหรับผิวแพ้ง่ายด้วย
5. ผิวเสีย
- ระหว่างที่ผิวเสียต้องปรึกษาแพทย์เพื่อการเลือกผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้เหมาะสม
- การจะใช้ครีมบำรุงหรือสบู่ล้างหน้าก็ควรเลือกอย่างอ่อนๆ ส่วนเครื่องสำอางหรือการแต่งหน้าต่างๆ นั้นควรงดโดยเด็ดขาด เพื่อรักษาและฟื้นฟูผิวให้หายดีเสียก่อน
6. ผิดธรรมดา
- แม้จะจัดว่าเป็นผิวที่น่าพอใจแล้ว แต่คุณก็ยังต้องดูแลอย่างเหมาะสมด้วย เช่น หมั่นใช้ครีมบำรุงเพิ่มความชุ่มชื่นที่พอเหมาะให้ผิว และหมั่นพอกหน้าหรือใช้สูตรธรรมชาติต่างๆ บำรุงผิวทั่วเรือนร่างบ้างเพื่อมิให้สภาพของผิวเปลี่ยนไปตามมลภาวะต่างๆ
ป้องกันการช็อค และ หัวใจวายเฉียบพลันด้วยการเสริมโปแตสเซียม
การเสริมโปแตสเซียมป้องกันการช็อค และ หัวใจวายเฉียบพลัน
คุณรู้ไหมว่าโปแตสเซียมนั้นมีความสำคัญต่อร่างกายของคุณเป็นอย่างมากร่างกายของคุณจะขาดโปแตสเซียมไม่ได้อย่างเด็ดขาดเพราะจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจนั้นไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยงนั่นเองดังนั้นคุณห้ามประมาทอย่างเด็ดขาดเพราะโรคต่างๆ นั้นจะมาโดยที่คุณตั้งตัวไม่ทันดังนั้นคุณควรให้ร่างกายได้รับธาตุโปแตสเซียมมากๆ ซึ่งจะมีอยู่มากในผัก และ ผลไม้ นั่นเอง และ ในอาหารบางชนิดอาจจะไปทำลายโปแตสเซียมภายในร่างกายซึ่งมีดังต่อไปนี้ เหล้า เบียร์ ของดอง ข้าวเหนียว และ ถั่วทุกชนิดยกเว้นเพียงถั่วแดงเท่านั้นที่ไม่ทำลายโปแตสเซียมภายในร่างกายของคุณและสิ่งที่มีผลทำให้ร่างกายของเรานั้นอาจจะช็อคและหัวใจวายได้ก็คืออากาศร้อนๆ นี่แหละค่ะที่เป็นสาเหตุหลักๆ ในการทำลายโปแตสเซียมของคุณเช่นกันเพราะจะทำให้ร่างกายของเรานั้นเกิดอาการขาดธาตุความร้อนอย่างเฉียบพลันจนเกิดอาการช็อค และ หัวใจวายได้ในทันทีส่วนสัญญาณเตือนที่บอกให้คุณรู้ได้ก่อนคือเหงื่อจะออกตามมือหรือร่างกายของคุณมากผิดปกติหัวใจเต้นแรงเกินไปเกิดอาการร้อนวูบวาบขึ้นมาทั่วทั้งร่างกายโดยในปัจจุบันนี้คุณจะเห็นได้ว่ามีผู้ที่เกิดอาการช็อคจนทำให้หัวใจวายเนื่องจากสภาพอากาศร้อนเป็นปัจจัยนั่นเอง ดังนั้นคุณควรที่จะบำรุงร่างกายของคุณเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ ดังนี้
วิธีง่ายๆ ในการเสริมโปแตสเซียมให้กับร่างกาย
1.ทานผักใบเขียวอยู่เสมอ เนื่องจากผักใบเขียวนั้นมีวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเขาเป้นอย่างมากและที่สำคัญคือผักที่มีรสชาติขมยิ่งให้โปแตสเซียมที่สูงแก่ร่างกายค่ะ
2.รับประทานผลไม้ เช่น กล้วย สับปะรด แตงโม ส้ม ขนุน ผลไม้เหล่านี้รวมให้โปแตสเซียมแก่คุณทั้งสิ้นควรรับประทานเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอหลังทานอาหารเสร็จจะช่วยเพิ่มโปแตสเซียมให้แก่ร่างกายของคุณเองแต่ในส่วนของการรับประทานผลไม้นี้คนล่ะอย่างกันกับดื่มน้ำผลไม้ที่มีขายอยู่ทั่วไปนะค่ะเพราะน้ำผลไม้กล่องสมัยนี้ค่อนข้างที่จะผสมเยอะจึงไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไหร่แนะนำให้ทานเฉพาะผลไม้ที่สดใหม่ดีกว่าค่ะ
3.นำผลไม้สดมาปั่นใส่น้ำแข็งดื่มในช่วงที่มีอากาศร้อนจัดเพราะในช่วงนั้นร่างกายของคุณอาจจะช็อคได้ดังนั้นควรดื่มพวกของเย็นๆ เพื่อให้พลังงานและความสดชื่นแก่ร่างกายของคุณด้วย
นี่เป็นวิธีเบื้อต้นในการดูแลตัวเองเท่านั้นนะค่ะถ้าคุณมีอาการหนักหรือเกิดหน้ามืดเหงื่อท่วมตัวบ่อยๆ ห้ามนิ่งนอนใจเป็นอันขาดให้ไปให้หมอเช็คร่างกายโดยด่วนก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้คุณอาจจะช็อค และ หัวใจวายได้ในทันที
คุณรู้ไหมว่าโปแตสเซียมนั้นมีความสำคัญต่อร่างกายของคุณเป็นอย่างมากร่างกายของคุณจะขาดโปแตสเซียมไม่ได้อย่างเด็ดขาดเพราะจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจนั้นไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยงนั่นเองดังนั้นคุณห้ามประมาทอย่างเด็ดขาดเพราะโรคต่างๆ นั้นจะมาโดยที่คุณตั้งตัวไม่ทันดังนั้นคุณควรให้ร่างกายได้รับธาตุโปแตสเซียมมากๆ ซึ่งจะมีอยู่มากในผัก และ ผลไม้ นั่นเอง และ ในอาหารบางชนิดอาจจะไปทำลายโปแตสเซียมภายในร่างกายซึ่งมีดังต่อไปนี้ เหล้า เบียร์ ของดอง ข้าวเหนียว และ ถั่วทุกชนิดยกเว้นเพียงถั่วแดงเท่านั้นที่ไม่ทำลายโปแตสเซียมภายในร่างกายของคุณและสิ่งที่มีผลทำให้ร่างกายของเรานั้นอาจจะช็อคและหัวใจวายได้ก็คืออากาศร้อนๆ นี่แหละค่ะที่เป็นสาเหตุหลักๆ ในการทำลายโปแตสเซียมของคุณเช่นกันเพราะจะทำให้ร่างกายของเรานั้นเกิดอาการขาดธาตุความร้อนอย่างเฉียบพลันจนเกิดอาการช็อค และ หัวใจวายได้ในทันทีส่วนสัญญาณเตือนที่บอกให้คุณรู้ได้ก่อนคือเหงื่อจะออกตามมือหรือร่างกายของคุณมากผิดปกติหัวใจเต้นแรงเกินไปเกิดอาการร้อนวูบวาบขึ้นมาทั่วทั้งร่างกายโดยในปัจจุบันนี้คุณจะเห็นได้ว่ามีผู้ที่เกิดอาการช็อคจนทำให้หัวใจวายเนื่องจากสภาพอากาศร้อนเป็นปัจจัยนั่นเอง ดังนั้นคุณควรที่จะบำรุงร่างกายของคุณเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ ดังนี้
วิธีง่ายๆ ในการเสริมโปแตสเซียมให้กับร่างกาย
1.ทานผักใบเขียวอยู่เสมอ เนื่องจากผักใบเขียวนั้นมีวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเขาเป้นอย่างมากและที่สำคัญคือผักที่มีรสชาติขมยิ่งให้โปแตสเซียมที่สูงแก่ร่างกายค่ะ
2.รับประทานผลไม้ เช่น กล้วย สับปะรด แตงโม ส้ม ขนุน ผลไม้เหล่านี้รวมให้โปแตสเซียมแก่คุณทั้งสิ้นควรรับประทานเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอหลังทานอาหารเสร็จจะช่วยเพิ่มโปแตสเซียมให้แก่ร่างกายของคุณเองแต่ในส่วนของการรับประทานผลไม้นี้คนล่ะอย่างกันกับดื่มน้ำผลไม้ที่มีขายอยู่ทั่วไปนะค่ะเพราะน้ำผลไม้กล่องสมัยนี้ค่อนข้างที่จะผสมเยอะจึงไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไหร่แนะนำให้ทานเฉพาะผลไม้ที่สดใหม่ดีกว่าค่ะ
3.นำผลไม้สดมาปั่นใส่น้ำแข็งดื่มในช่วงที่มีอากาศร้อนจัดเพราะในช่วงนั้นร่างกายของคุณอาจจะช็อคได้ดังนั้นควรดื่มพวกของเย็นๆ เพื่อให้พลังงานและความสดชื่นแก่ร่างกายของคุณด้วย
นี่เป็นวิธีเบื้อต้นในการดูแลตัวเองเท่านั้นนะค่ะถ้าคุณมีอาการหนักหรือเกิดหน้ามืดเหงื่อท่วมตัวบ่อยๆ ห้ามนิ่งนอนใจเป็นอันขาดให้ไปให้หมอเช็คร่างกายโดยด่วนก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้คุณอาจจะช็อค และ หัวใจวายได้ในทันที
ป้ายกำกับ:
ผักผลไม้
,
โรค
,
วิธี
,
สุขภาพความงาม
,
หัวใจวาย
,
อาหาร
เขียนโดย
อ้อยิ้ม
ไม่มีความคิดเห็น
:

ผลไม้ต้านความแก่ชรา
ผลไม้ต้านแก่
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
ไม่ว่าจะเป็น สตรอเบอร์รี่ เชอร์รี่ บูลเบอร์รี่ และราสเบอรรี่ ล้วนอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน และมีวิตามิน ซี สูง มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเกิดเซลล์มะเร็ง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและดีต่อการทำงานของระบบเลือด หัวใจ และทางเดินอาหาร นอกจากนี้วิตามิน ซี ยังมีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิวคือ สร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่เซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวพรรณแลดูสุขภาพดีคงความสวยสดใส
องุ่น
มากไปด้วยกับสารต้านอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติกำจัดสารพาในร่างกาย และมีส่วนช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญ และสร้างเม็ดเลือด อีกทั้งยังมีคุณสมบัติดีเยี่ยมในการฟื้นฟูผิว ช่วยสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรงลดอาการบวมน้ำของผิว ช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของผิว และยับยั้งการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
กีวี
ผลการวิจัยบอกว่า กีวีเป็นผลไม้ที่มีวิตามิน ซี สูงกว่าส้มเสียอีกแถมยังมีวิตามิน อี ด้วย และแน่นอนวิตามินทั้งสองชนิดนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ส่งผลดีต่อสุขภาพของผิวคือ จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนให้กับผิว ทำให้ผิวเนียนเรียบ สดใส เปล่งปลั่ง และยังช่วยความชะลอความเสื่อมสภาพให้กับเซลล์ผิว ทำให้ริ้วรอยแห่งวัยค่อย ๆ มาอย่างช้า ๆ
ส้ม
ในผลส้มถือเป็นแหล่งตักตวงวิตามิน ซี และเบต้าแคโรทีนชั้นดีซึ่งสารอาหารที่ว่านี้ มีคุณสมบัติช่วยสร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยล้างพิษ ช่วยลดคอเลสเตอรอล และช่วยดูแลสุขภาพผิว เช่น ขจัดความหมองคล้ำ และความแห้งกร้าน อีกทั้งยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ทำให้ผิวพรรณสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และคงความอ่อนเยาว์ไว้
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
ไม่ว่าจะเป็น สตรอเบอร์รี่ เชอร์รี่ บูลเบอร์รี่ และราสเบอรรี่ ล้วนอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน และมีวิตามิน ซี สูง มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเกิดเซลล์มะเร็ง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและดีต่อการทำงานของระบบเลือด หัวใจ และทางเดินอาหาร นอกจากนี้วิตามิน ซี ยังมีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิวคือ สร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่เซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ ทำให้ผิวพรรณแลดูสุขภาพดีคงความสวยสดใส
องุ่น
มากไปด้วยกับสารต้านอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติกำจัดสารพาในร่างกาย และมีส่วนช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญ และสร้างเม็ดเลือด อีกทั้งยังมีคุณสมบัติดีเยี่ยมในการฟื้นฟูผิว ช่วยสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรงลดอาการบวมน้ำของผิว ช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของผิว และยับยั้งการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
กีวี
ผลการวิจัยบอกว่า กีวีเป็นผลไม้ที่มีวิตามิน ซี สูงกว่าส้มเสียอีกแถมยังมีวิตามิน อี ด้วย และแน่นอนวิตามินทั้งสองชนิดนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ส่งผลดีต่อสุขภาพของผิวคือ จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนให้กับผิว ทำให้ผิวเนียนเรียบ สดใส เปล่งปลั่ง และยังช่วยความชะลอความเสื่อมสภาพให้กับเซลล์ผิว ทำให้ริ้วรอยแห่งวัยค่อย ๆ มาอย่างช้า ๆ
ส้ม
ในผลส้มถือเป็นแหล่งตักตวงวิตามิน ซี และเบต้าแคโรทีนชั้นดีซึ่งสารอาหารที่ว่านี้ มีคุณสมบัติช่วยสร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยล้างพิษ ช่วยลดคอเลสเตอรอล และช่วยดูแลสุขภาพผิว เช่น ขจัดความหมองคล้ำ และความแห้งกร้าน อีกทั้งยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ทำให้ผิวพรรณสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และคงความอ่อนเยาว์ไว้
ขจัดปัญหาขอบตาดำให้จางไป
ขจัดปัญหาขอบตาดำให้จางไป
เมื่อร่างกายมีออกซิเจนที่เพียงพอ และไม่มีกรดเกินเกิดขึ้นในร่างกายจะทำให้ปัญหาขอบตาดำคล้ำเกิดขึ้นได้ค่อนข้างยาก การทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะที่สมดุล ด้วยการนอนหลับและพักผ่อนอย่างเพียงพอก็จะสามารถช่วยลดปัญหาการเกิดขอบตาดำคล้ำได้ ประกอบกับการรับประทานพืชผักใบเขียวสดๆ และผลไม้สด ๆ เช่น ส้ม ฝรั่ง สับปะรด อย่างสม่ำเสมอยังช่วยทำให้ปัญหาชอบตาดำลดลงอีกด้วย
วิธีแก้ไขปัญหาขอบตาไม่ให้คล้ำทำได้ เพียงใช้แตงกวาฝานเป็นแผ่นบางๆ วางแปะเอาไว้บริเวณรอบดวงตา หรือหาไม่ได้อาจเปลี่ยนจากแตงกว่ามาเป็นถุงชาที่ผ่านการชงแล้ว แช่ให้เย็นจัด จึงนำมาประคบที่บริเวณรอบดวงตา จนหมดความเย็น จึงเอาออกสำหรับอีกวิธีหนึ่งก็คือ ผสมเกลือหนึ่งช้อนชาเข้ากับน้ำร้อนครึ่งถ้วย ใช้สำลีหรือผ้าขนหนูชุบแล้วนำมาปิดไว้ที่ตา ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แต่เมื่อลองทำทั้งสองวิธีที่แนะนำแล้วไม่หาย ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนของคุณ โดยนอนไม่ดึกและพักผ่อนอย่างเพียงพอ นอกจากนี้ ควรมีการออกกำลังกายร่วมด้วย และหมั่นบำรุงด้วยอายครีมชนิดที่มีส่วนผสมของไวน์เทนนิ่งใช้ทาบริเวณรอบดวงตาเป็นประจำทุกวันก่อนนอน แต่พบว่ายังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นล่ะก็ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกต้อง เพราะการที่มีขอบตาดำคล้ำอาจจะมาจากสาเหตุอื่นๆก็ได้ เช่น โรคประจำตัวบางชนิด หรือการแพ้ยาบางตัวที่รับประทานอยู่
หากใครที่มีปัญหาขอบตาดำธรรมดาๆ ล่ะก็ ลองเอาวิธีที่นำมาฝากกันไปทำดูนะคะ
เมื่อร่างกายมีออกซิเจนที่เพียงพอ และไม่มีกรดเกินเกิดขึ้นในร่างกายจะทำให้ปัญหาขอบตาดำคล้ำเกิดขึ้นได้ค่อนข้างยาก การทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะที่สมดุล ด้วยการนอนหลับและพักผ่อนอย่างเพียงพอก็จะสามารถช่วยลดปัญหาการเกิดขอบตาดำคล้ำได้ ประกอบกับการรับประทานพืชผักใบเขียวสดๆ และผลไม้สด ๆ เช่น ส้ม ฝรั่ง สับปะรด อย่างสม่ำเสมอยังช่วยทำให้ปัญหาชอบตาดำลดลงอีกด้วย
วิธีแก้ไขปัญหาขอบตาไม่ให้คล้ำทำได้ เพียงใช้แตงกวาฝานเป็นแผ่นบางๆ วางแปะเอาไว้บริเวณรอบดวงตา หรือหาไม่ได้อาจเปลี่ยนจากแตงกว่ามาเป็นถุงชาที่ผ่านการชงแล้ว แช่ให้เย็นจัด จึงนำมาประคบที่บริเวณรอบดวงตา จนหมดความเย็น จึงเอาออกสำหรับอีกวิธีหนึ่งก็คือ ผสมเกลือหนึ่งช้อนชาเข้ากับน้ำร้อนครึ่งถ้วย ใช้สำลีหรือผ้าขนหนูชุบแล้วนำมาปิดไว้ที่ตา ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แต่เมื่อลองทำทั้งสองวิธีที่แนะนำแล้วไม่หาย ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนของคุณ โดยนอนไม่ดึกและพักผ่อนอย่างเพียงพอ นอกจากนี้ ควรมีการออกกำลังกายร่วมด้วย และหมั่นบำรุงด้วยอายครีมชนิดที่มีส่วนผสมของไวน์เทนนิ่งใช้ทาบริเวณรอบดวงตาเป็นประจำทุกวันก่อนนอน แต่พบว่ายังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นล่ะก็ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกต้อง เพราะการที่มีขอบตาดำคล้ำอาจจะมาจากสาเหตุอื่นๆก็ได้ เช่น โรคประจำตัวบางชนิด หรือการแพ้ยาบางตัวที่รับประทานอยู่
หากใครที่มีปัญหาขอบตาดำธรรมดาๆ ล่ะก็ ลองเอาวิธีที่นำมาฝากกันไปทำดูนะคะ
ป้ายกำกับ:
ขอบตาดำ
,
ครีม
,
เครื่องสำอาง
,
ดวงตา
,
สุขภาพความงาม
เขียนโดย
อ้อยิ้ม
ไม่มีความคิดเห็น
:

ควรเบามือ ณ รอบดวงตา
ควรเบามือ ณ รอบดวงตา
ผิวหนังบริเวณรอบดวงตา เป็นผิวหนังที่บอบบางมากที่สุด ไม่ว่าจะทำอะไรกับผิวบริเวณรอบดวงตา ก็ควรจะต้องเพิ่มความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เพราะหากผิวหนังบริเวณรอบดวงตาได้รับการกระทบกระเทือนก็อาจส่งผลทำให้เกิดเป็นริ้วรอยได้ดังนั้น หากจะทาครีมบำรุงผิวรอบดวงตา จึงควรทำด้วยความระมัดระวัง และทาอย่างเบามือที่สุด ไม่เช่นนั้น อาจทำให้เกิดริ้วรอยที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นบริเวณรอบดวงตาได้ ถึงตอนนี้ แม้อายครีมจะมีประสิทธิภาพมากแค่ไหนก็คงไม่อาจช่วยยับยั้งริ้วรอยที่เกิดขึ้นได้
สำหรับวิธีการทาอายครีมหรือครีมบำรุงผิวรอบดวงตามที่ถูกต้อง ควรใช้นิ้วแตะเนื้อครีมเพียงแค่ประมาณเท่าเม็ดถั่ว และค่อยๆ แตะลงบนผิวบริเวณรอบดวงตา จากนั้นจึงใช้นิ้วนวดวนตามแนวของกระดูกคิ้วบนเปลือกตา โดยลักษณะการนวดที่ถูกต้องจะนวดเป็นวงกลมเล็กๆ ไปในทิศทางเดียวกัน และค่อยๆใช้นิ้วแตะเบาๆ ที่บริเวณเปลือกตา เพื่อกระตุ้นให้ครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวรอบดวงตาได้เร็วยิ่งขึ้น
ข้อควรระวังในการทาครีมบริเวณรอบดวงตา คือ ต้องทำอย่างเบามือที่สุด โดยใช้นิ้วนางเพียงอย่างเดียวในการทา เพราะนิ้วนางเป็นนิ้วที่มีน้ำหนักเบาที่สุด การทาครีมรอบดวงตาทุกครั้งจะต้องเริ่มทาตั้งแต่หัวตาหรือหางตาก่อน จากนั้นจึงค่อยทาวนไปรอบๆดวงตาในลักษณะเป็นวงกลม หรืออาจวนไปในแนวที่คุณเองถนัดก็ได้ แต่จะต้องนวดวนไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ควรนวดย้อนไปย้อนมา เพราะอาจส่งผลทำให้ผิวรอบดวงตาช้ำและเป็นรอยได้ง่าย
ผิวหนังบริเวณรอบดวงตา เป็นผิวหนังที่บอบบางมากที่สุด ไม่ว่าจะทำอะไรกับผิวบริเวณรอบดวงตา ก็ควรจะต้องเพิ่มความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เพราะหากผิวหนังบริเวณรอบดวงตาได้รับการกระทบกระเทือนก็อาจส่งผลทำให้เกิดเป็นริ้วรอยได้ดังนั้น หากจะทาครีมบำรุงผิวรอบดวงตา จึงควรทำด้วยความระมัดระวัง และทาอย่างเบามือที่สุด ไม่เช่นนั้น อาจทำให้เกิดริ้วรอยที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นบริเวณรอบดวงตาได้ ถึงตอนนี้ แม้อายครีมจะมีประสิทธิภาพมากแค่ไหนก็คงไม่อาจช่วยยับยั้งริ้วรอยที่เกิดขึ้นได้
สำหรับวิธีการทาอายครีมหรือครีมบำรุงผิวรอบดวงตามที่ถูกต้อง ควรใช้นิ้วแตะเนื้อครีมเพียงแค่ประมาณเท่าเม็ดถั่ว และค่อยๆ แตะลงบนผิวบริเวณรอบดวงตา จากนั้นจึงใช้นิ้วนวดวนตามแนวของกระดูกคิ้วบนเปลือกตา โดยลักษณะการนวดที่ถูกต้องจะนวดเป็นวงกลมเล็กๆ ไปในทิศทางเดียวกัน และค่อยๆใช้นิ้วแตะเบาๆ ที่บริเวณเปลือกตา เพื่อกระตุ้นให้ครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวรอบดวงตาได้เร็วยิ่งขึ้น
ข้อควรระวังในการทาครีมบริเวณรอบดวงตา คือ ต้องทำอย่างเบามือที่สุด โดยใช้นิ้วนางเพียงอย่างเดียวในการทา เพราะนิ้วนางเป็นนิ้วที่มีน้ำหนักเบาที่สุด การทาครีมรอบดวงตาทุกครั้งจะต้องเริ่มทาตั้งแต่หัวตาหรือหางตาก่อน จากนั้นจึงค่อยทาวนไปรอบๆดวงตาในลักษณะเป็นวงกลม หรืออาจวนไปในแนวที่คุณเองถนัดก็ได้ แต่จะต้องนวดวนไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ควรนวดย้อนไปย้อนมา เพราะอาจส่งผลทำให้ผิวรอบดวงตาช้ำและเป็นรอยได้ง่าย
ผลไม้สำหรับบำรุงร่างกาย
ผลไม้สำหรับบำรุงร่างกาย
มะละกอ
สารสีส้มในเนื้อมะละกอคือ เบต้าแคโรทีน มีคุณสมบัติช่วยกำจัดอนุมูลอิสระถือเป็นผลดีกับผิวคือ ช่วยรัษาความสมดุลของผิวไว้ทำให้ผิวสุขภาพดี สวยสดใส ไม่แห้งกร้าน นอกจากนี้ในมะละกอมีเอนไซม์ตัวหนึ่งชื่อว่า Papain ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษเหมือนกับน้ำย่อยที่อยู่ในกระเพาะอาหารของเราคือ ช่วยย่อยอาหาร และยังช่วยทำความสะอาดลำไส้ด้วย
เสาวรส
ผลไม้รสเปรี้ยวจี๊ดสะกิดใจที่มีวิตามิน ซี สูง รวมทั้งมีเบต้าแคทีน และวิตามิน บี3 มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยล้างสารพิษในเลือด ช่วยสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง ทำให้ผิวคงความกระชับนุ่มนวล กระจ่างใส ถือว่าเป็นการชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
กล้วย
กล้วยเป็นผลไม้ที่มีให้กินกันทั้งปีแถมยังราคาถูก ถือว่าเป็นสุดยอดผลไม้เชียวแหละ ในผลกล้วยมีโพแทสเซียมสูง ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย และช่วยควบคุมการทำงานของระบบประสาท และมีเบต้าแคโรทีน ปริมาณสูงเช่นกัน โดยมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ ถ้าหากกินกล้วยอยู่เป็นประจำจะส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย สำหรับผิวพรรณการกินกล้วยจะช่วยทำให้ผิวดีขึ้น มีความกระชับ เนียนเรียบ และยังช่วยยับยั้งการเกิดริ้วรอยแห่งวัยอีกด้วย
ฝรั่ง
ผลการวิจัยบอกว่า ฝรั่งมีวิตามิน ซี สูงมากกว่าส้มเสียอีก และโชคดีจังที่ฝรั่งเป็นผลไม้ประเภทหาซื้อง่าย ราคาถูก แถมยังให้วิตามินอื่น ๆ อีกสารพัด ซึ่งคุณสมบัติที่ดีของวิตามิน ซี คือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยสร้าง และคอยปกป้องคอลลาเจน และอีลาสตีนไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ สำหรับคนที่ต้องการคงความอ่อนเยาว์ไว้เนิ่นนาน กินฝรั่งเป็นประจำจะช่วยได้นะคะ
อโวคาโด
อโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีรสชาติแบบจืด ๆ มัน ๆ ทำให้บางคนอาจไม่ค่อยถูกใจนัก แต่รู้ไม้ยว่าคุณประโยชน์ของมันค่อนข้างดีมาก ๆ เพราะอุดมไปด้วยวิตามิน อี วิตามิน ซี และวิตามิน เอ ไม่เพียงเท่านี้ยังมีสารกลูตาไธโอนป็นส่วนประกอบด้วย ซึ่งสารอาหารตัวสำคัญทั้งหมดนี้ จะช่วยชะลอความแก่ได้อย่างแน่นอน
มะละกอ
สารสีส้มในเนื้อมะละกอคือ เบต้าแคโรทีน มีคุณสมบัติช่วยกำจัดอนุมูลอิสระถือเป็นผลดีกับผิวคือ ช่วยรัษาความสมดุลของผิวไว้ทำให้ผิวสุขภาพดี สวยสดใส ไม่แห้งกร้าน นอกจากนี้ในมะละกอมีเอนไซม์ตัวหนึ่งชื่อว่า Papain ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษเหมือนกับน้ำย่อยที่อยู่ในกระเพาะอาหารของเราคือ ช่วยย่อยอาหาร และยังช่วยทำความสะอาดลำไส้ด้วย
เสาวรส
ผลไม้รสเปรี้ยวจี๊ดสะกิดใจที่มีวิตามิน ซี สูง รวมทั้งมีเบต้าแคทีน และวิตามิน บี3 มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยล้างสารพิษในเลือด ช่วยสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง ทำให้ผิวคงความกระชับนุ่มนวล กระจ่างใส ถือว่าเป็นการชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
กล้วย
กล้วยเป็นผลไม้ที่มีให้กินกันทั้งปีแถมยังราคาถูก ถือว่าเป็นสุดยอดผลไม้เชียวแหละ ในผลกล้วยมีโพแทสเซียมสูง ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย และช่วยควบคุมการทำงานของระบบประสาท และมีเบต้าแคโรทีน ปริมาณสูงเช่นกัน โดยมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ ถ้าหากกินกล้วยอยู่เป็นประจำจะส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย สำหรับผิวพรรณการกินกล้วยจะช่วยทำให้ผิวดีขึ้น มีความกระชับ เนียนเรียบ และยังช่วยยับยั้งการเกิดริ้วรอยแห่งวัยอีกด้วย
ฝรั่ง
ผลการวิจัยบอกว่า ฝรั่งมีวิตามิน ซี สูงมากกว่าส้มเสียอีก และโชคดีจังที่ฝรั่งเป็นผลไม้ประเภทหาซื้อง่าย ราคาถูก แถมยังให้วิตามินอื่น ๆ อีกสารพัด ซึ่งคุณสมบัติที่ดีของวิตามิน ซี คือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยสร้าง และคอยปกป้องคอลลาเจน และอีลาสตีนไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ สำหรับคนที่ต้องการคงความอ่อนเยาว์ไว้เนิ่นนาน กินฝรั่งเป็นประจำจะช่วยได้นะคะ
อโวคาโด
อโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีรสชาติแบบจืด ๆ มัน ๆ ทำให้บางคนอาจไม่ค่อยถูกใจนัก แต่รู้ไม้ยว่าคุณประโยชน์ของมันค่อนข้างดีมาก ๆ เพราะอุดมไปด้วยวิตามิน อี วิตามิน ซี และวิตามิน เอ ไม่เพียงเท่านี้ยังมีสารกลูตาไธโอนป็นส่วนประกอบด้วย ซึ่งสารอาหารตัวสำคัญทั้งหมดนี้ จะช่วยชะลอความแก่ได้อย่างแน่นอน
วิธีฟอกเลือดด้วยตนเองรักษาสารพัดโรค
วิธีฟอกเลือดด้วยตนเองรักษาสารพัดโรค
เลือดแม้จะไม่ใช่อวัยวะแต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเราที่สำคัญเป็นอย่างมากและขาดไม่ได้ดังนั้นคุณห่วงที่จะใส่ใจทั้งเรื่องการกินอย่าพยายามกินของมัน หรือ อาหารที่มีน้ำตาลมากจนเกินไปเพราะจะไปอุดตันเส้นเลือดของคุณได้นั่นเองใครที่ชอบกินของมันๆ หรือ ของหวานคุณควรจะทราบว่ามันอาจจะนำคุณไปสู่โรคร้ายต่างๆ ได้สารพัดไม่ว่าจะเป็น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคนิ่วความดัน โรคเส้นเลือดอุดตัน เป็นต้น
ดังนั้นคุณควรที่จะเริ่มดูแลสุขภาพและร่างกายของคุรเองอย่างดีตั้งแต่วันนี้โดยเริ่มจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก่อนรับประทานผักมากกว่าเนื้อเนื่องจากเนื้อนั้นให้พลังงานที่สูงจนเกิดการย่อยยากอาจจะส่งผลต่อระบบต่างๆ ในร่างกายของเราทำให้ร่างกายของเราทำงานหนักได้ถ้าคุณรับประทานเนื้อเป็นจำนวนมากและเรื่องต่อไปที่คุณไม่ควรจะลืมก็คือการดื่มน้ำเปล่าให้ได้เช้าล่ะ 2-3 แก้วเพื่อร่างสิ่งสกปรกออกจากร่างกายของเราดื่มน้ำธรรมดาอย่าดื่มน้ำเย็นจะโอเคกว่าเยอะเลยค่ะหลังจากนั้นอยากแนะนำให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อสุขภาพร่างกายของคุณเองด้วยนะค่ะ
วิธีฟอกเลือดด้วยตนเอง มีดังนี้
1.ทำน้ำมะขามเปียกผสม เกลือ ข่า แล้วหลังจากนั้นนำมาใส่ในน้ำอุ่นๆ แล้วจึงคนให้เข้ากันไม่ต้องใส่เยอะจนเข้มเกินไปนะค่ะเพราะอาจจะทำให้ดื่มไม่ลงค่ะทำดื่มในช่วงเช้าอาทิตย์ล่ะ 2 ครั้งช่วยได้เยอะเลยล่ะค่ะหรือถ้าคุณขี้เกียจทำบ่อยๆ ก็ทำใส่ขวดแช่เย็นเอาไว้ก็ได้แต่เก็บรักษาในตู้เย็นไม่นานก็เสียเพราะฉะนั้นอย่าทำทีล่ะเยอะๆ นะค่ะ
2.น้ำมะขามเปียก ผสม ข่า และ มะม่วงกวน นำมาปั่นรวมกันหรือผสมรวมกันคัดเอาเฉพาะน้ำมาผสมในน้ำอุ่นก่อนจะนำมารับประทานรสชาติอร่อยเข้มข้นมากเลยทีเดียวสำหรับสูตรนี้ทำดื่มเป็นประจำในปริมาณที่พอเหมาะ 1 แก้ว ดื่มให้หมดในช่วงเช้าสามารถช่วยในเรื่องการฟอกโลกได้เป็นอย่างดีลองทำดื่มกันดูค่ะ
3.ดื่มน้ำคลอโรฟิลล์ ใครที่ขี้เกียจทำก็สามารถที่จะหาซื้อคลอโรฟิลล์แบบผงมาชงดื่มกับน้ำเป็นประจำทุกวันในช่วงเช้าได้นอกจากคลอโรฟิลล์นั้นจะช่วยฟอกเลือดได้เป็นอย่างดีแล้วยังสามารถล้างของเสียออกจากลำไส้ของเราได้ด้วย
วันนี้เรามีวิธีฟอกเลือกมาฝากคุณถึง 3 วิธี ด้วยกันดังนั้นเลือกเอานะค่ะว่าจะใช้วิธีไหนฟอกเลือดดีถึงคุณยังไม่ป่วยเป็นโรคอะไรในตอนนี้ก็ควรจะทำเอาไว้เพื่อสุขภาพและร่างกายที่แข็งแรงของคุณเองในอนาคตด้วยอย่าประมาทเด็ดขาดเพราะการเจ็บป่วยนั้นมาได้ทุกเมื่อโดยที่คุณยังไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ
อายเจลแบบโฮมเมด
![]() |
อายเจลแบบโฮมเมด |
ใช่ว่าผิวหน้าและผิวกายเท่านั้นที่ต้องการการดูแล แต่สำหรับผิวบริเวณรอบดวงตาก็ย่อมต้องการการดูแลไม่แตกต่างไปจากผิวบริเวณส่วนอื่นๆ การดูแลผิวบริเวณรอบดวงตาด้วยอายครีมที่มีจำหน่ายทั่วไปตามท้องตลาด ก็สามารถดูแลผิวบริเวณรอบดวงตาได้ง่ายๆ แต่ผลิตภัณฑ์อายครีมที่มีวางวางจำหน่ายอยู่ทั่วไปตามท้องตลาดนั้น มีราคาค่อนข้างแพง โดยเฉพาะกับยี่ห้อดีๆนั้น ยิ่งที่ราคาค่อนข้างแพงขึ้นไปอีก เป็นอย่างนี้แล้ว หากเราสามารถทำอายครีมไว้ใช้ได้เองนอกจากจะช่วยบำรุงผิวรอบดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าของคุณอีกด้วย
คุณสามารถทำอายครีมบำรุงผิวรอบดวงตาได้ เพียงนำชาเขียวชนิดใช้ชงดื่มกับน้ำร้อนมาต้มกับน้ำเดือด จากนั้นยกลงจากเตา ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นจึงนำเข้าแช่ในตู้เย็น เมื่อถึงเวลาใช้ก็เพียงแค่ใช้สำลีชุบน้ำชาเขียวที่เย็นจัดๆ มาประคบไว้ที่บริเวณเปลือกตาทั้งสองข้าง ทำเช่นนี้เป็นประจำทุกวัน วันละประมาณ 10-20 นาที ก็จะช่วยทำให้ผิวบริเวณรอบดวงตาของคุณแลดูสดใสไม่มองคล้ำแล้วล่ะ
การทำอายครีมโฮมเมดแบบนี้ นอกจากจะมีราคาที่ถูกกว่าอายครีมที่มีวางจำหน่ายอยู่ทั่วไปแล้ว ยังสามารถทำเก็บไว้ใช้ในคราวต่อไปได้อีกด้วย ทุกครั้งที่นำน้ำชาเขียวมาเช็ดที่บริเวณรอบดวงตาจะพบว่าดวงตาที่เคยเมื่อยล้า หมองคล้ำ ก็จะดูสดชื้นขึ้น ช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าของดวงตาที่มีการใช้งานมาแล้วตลอดทั้งวัน
ใครที่อยากลองนำวิธีการทำอายครีมดังกล่าวไปลองใช้ดู ก็สามารถทำได้นะคะ
ไม่อยากมีขอบตาคล้ำ
![]() |
ขอบตา |
สิ่งสำคัญคือ ต้องหาสาเหตุของการเกิดขอบตาดำก่อนว่าเกิดมาจากสาเหตุอะไร เช่น หากพบว่านอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็ให้เปลี่ยนพฤติกรรมการนอนเสียใหม่ เพื่อลดการเกิดการคล้ำของขอบตา แต่หากพบว่าอาการขอบตาคล้ำไม่ได้เกิดจากการนอนไม่พอ ก็ลองลดอาหารจำพวกแป้ง และเนื้อสัตว์ลง และสังเกตดูว่าขอบตาคล้ำลดลงหรือ หากอาการยังไม่ดีขึ้น ให้พบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดขอบตาคล้ำ เพราะการเกิดขอบตาคล้ำบางสาเหตุอาจเกิดมาจากโรคประจำตัวบางชนิด หรือเกิดจากการใช้ยาบางชนิดที่ส่งผลให้เกิดขอบตาดำคล้ำ
อย่างไรก็ตาม หากขอบตาดำเป็นไม่มาก อาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ เพื่อดุแลและปกป้องขอบตาของคุณไม่ให้หมองคล้ำได้ ผลิตภัณฑ์ที่ว่าก็ได้แก่ อายครีม ที่ช่วยในการดุแลผิวรอบดาวตาไม่ให้หมองคล้ำได้ง่าย
วิธีแก้ตาบวมหลังร้องให้
![]() |
ร้องไห้จนตาบวม |
ปัญหาตาบวมแดงเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากการร้องไห้ การนอนดึก หรือการนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ อาการตาบวมเหล่านี้สามารถทำให้หายไปได้ ด้วยวิธีง่ายๆ ที่นำมาฝากกัน ซึ่งทำได้ดังนี้
เมื่อพบว่าดวงตาคู่สวยของคุณบวมอันเนื่องมาจากสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ เพื่อเป็นการปกปิดและบรรเทาอาการตาบวมให้ลดลง สามารถทำได้โดยใช้ผ้าขนหนูหรือสำลี ชุบนมสดในตู้เย็น ประคบรอบดวงตา ทำเช่นนี้ประมาณ 10 นาที หรือจนกว่าจะหมดความเย็นลง จึงทำซ้ำอีกครั้ง เพียงเท่านี้อาการบวมแดงของตาคู่สวยก็จะค่อยๆบรรเทาลง ไม่ใช่เพียงนมสดเท่านั้นที่สามารถนำมาลดอาการบวมแดงของดวงตา แต่การนำแตงกวาแช่เย็นหั่นเป็นแว่นๆ มาวางบริเวณเปลือกตาก็สามารถช่วยลดอาการบวมแดงได้เช่นเดียวกัน อีกทั้งถึงชาที่เราใช้ชงรับประทานไปแล้ว อย่าพึ่งทิ้งนะคะ เพราะถุงชายังสามารถนำไปแช่เย็น เพื่อนำมาวางประคบรอบดวงตาลดอาการบวมได้ แต่ถ้าหากหาอะไรไม่ได้เลย แนะนำวิธีง่ายๆ เพียงแค่ นำผ้าชุบน้ำเย็นๆ มาประคบรอบดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 10 – 20 นาที ดวงตาคู่สวยก็จะกลับมาสดใสอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังมีมะเขือเทศ และมันฝรั่งที่หากนำมาวางบริเวณรอบดวงตาก็สามารถลดการบวมแดงของดวงตาได้เช่นเดียวกัน
เทคนิคในการลดอาการบวมแดงของดวงตา คุณสามารถเลือกนำไปใช้ได้นะคะ เพราะไม่ใช่เพียงแค่ลดอาการบวมแดงของดวงตาได้เท่านั้น แต่มันยังทำให้ดวงตาคู่สวยของคุณรู้สึกสดชื่น และช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าของดวงตาลงได้ ใครที่ต้องเผชิญกับปัญหานี้บ่อยๆ ก็อย่าลืมนำเคล็ดลับนี้ไปใช้กันดูนะคะ
สมุนไพรสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน
![]() |
ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ |
ในปัจจุบันนี้มีคนไทยเป็นจำนวนมากเลยทีเดียวที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานโดยส่วนมากจะตรวจพบกับผู้ที่มีอายุเยอะโรคเบาหวานนั้นโดยทั่วไปอาจจะดูรุนแรงมากสำหรับผู้ที่กำลังเป็นโรคเบาหวานอยู่เนื่องจากผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานนั้นอาจจะตกอยู่ในสภาวะร่างกายเหนื่อยล้าทำงานหนักไม่ได้ซึ่งถ้าใครเป็นหัวหน้าครอบครัวอาจจะส่งผลเสียกับคุณอย่างหนักเพราะคุณอาจจะไม่สามารถทำงานได้ส่วนใครที่เป็นโรคเบาหวานสิ่งที่คุณควรที่จะต้องพึงระวังกันเอาไว้นั้นก็คือ การบาดเจ็บเพราะเวลาที่คุณบาดเจ็บจนเลือดออกแล้วไม่ยอมไปหาหมอทำความสะอาดบาดแผลให้ดีอาจจะทำให้บาดแผลนั้นเกิดการติดเชื้อจนอาจจะขึ้นขั้นต้องตัดอวัยวะทิ้งเลยทีเดียวดังนั้นคุณไม่ควรที่จะประมาทกับโรคเบาหวานเด็ดขาดเพราะมีความอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตได้เลยทีเดียว แต่ในปัจจุบันนี้วิธีในการรักษาโรคเบาหวานก็มีหลากหลายวิธีเช่นเดียวกันซึ่งแพทย์จะมีวิธีในการรักษาที่แตกต่างกันออกไป เช่น ให้ดูแลเรื่องอาหาร ใช้ยาสมุนไพรรักษาโรคเบาหวานในปัจจุบันบ้านเราก็มียาสำหรับใช้ในการรักษาโรคเบาหวานแบบแผนยาโบราณถึง 30 ตำรับด้วยกันแต่ในส่วนนี้ก็ใช้ว่าจะรักษาโรคเบาหวานหายเสมอไปนะค่ะซึ่งในตำรับยานั้นจะใช้สมุนไพรพื้นบ้านมาสกัดเป็นยาทั้งสิ้นจึงไม่ส่งผลอันตรายใดๆ ต่อร่างกายของเราดังนั้นใครที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานอย่าเพิ่งท้อแท้หรือหมดกำลังใจไปนะค่ะเพราะในสมัยนี้มีวิธีใหม่ๆ ที่ช่วยคุณให้อาการดีขึ้น หรือ หายขาดจากโรคนี้ได้แล้วค่ะแต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานด้วยว่าจะดูแลรักษาตัวเองมากน้อยแค่ไหน โรคเบาหวานเป็นโรคที่พบมากในผู้ใหญ่มากกว่าเด็กปัจจุบันนี้มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาเนื่องจากป่วนเป็นโรคเบาหวานเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอีสานมีผู้ป่วยเป็นโรคนี้เยอะมากที่เข้ามารักษาในโรงพยาบาลด้วยโรคเบาหวานดังนั้นในวันนี้เราก็มีวิธีดูแลตัวเองสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานด้วยตนเองมาฝากกันค่ะ
1.พยายามนอนตื่นให้เป็นเวลา เพราะว่าร่างกายของเรานั้นต้องการการพักผ่อนที่เพียงพอโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานที่มีอาการเหนื่อยได้ง่ายแต่ก้อย่าพักมากจนเกินไปจนทำให้ร่างกายโทรมนะค่ะ
2.หมั่นออกกำลังกาย มีส่วนช่วยได้มากในการต้านทานและสร้างภูมคุ้มกันไม่จำเป็นที่จะต้องออกกำลังอย่างหนักหรือแบบหักโหมออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อของเรายืดตัวก็พอค่ะเพื่อให้ร่างกายของเรานั้นแข้งแรงและสร้างภูมิคุ้มกันมาต้นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่อาจจะเข้ามาแทรกซ้อนในระหว่างที่เราป่วยเป็นโรคเบาหวานอยู่นั่นเอง
อย่าปล่อยให้ท้องผูก
อย่าปล่อยให้ท้องผูก
โดยธรรมชาติของร่างกาย การขับถ่ายถือเป็นการขับไล่ของเสีย และสารพิษออกจากร่างกาย ถ้าร่างกายเรามีการขับถ่ายที่ดีก็ถือว่าสุขภาพร่างกายอยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งในหัวข้อนี้จะขอพูดถึงแต่เรื่องการถ่ายหนัก หรือถ่ายอุจจาระ ถ้าการขับถ่ายมีปัญหา เช่น อุจจาระแข็ง หรือไม่ได้ถ่ายมาหลายวัน อาการที่ว่านี้ เรียกว่าท้องผูก ถึงแม้ว่าอาการท้องผูกจะไม่ได้รุนแรงอะไรมากนัก แต่ก็ส่งผลเสียต่อผิวพรรณและยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวารด้วย
หลายคนอาจงง อาการท้องผูกจะมาเกี่ยวข้องอะไรกับปัญหาผิวพรรณกันล่ะเนี่ย! เพราะถ้าร่างกายเราไม่ได้ขับไล่ของเสีย หรือเอาสารพิษออกไปให้พ้นจากร่างกาย แน่นอนว่า สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นที่ยังตกค้างอยู่ก็จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดใหม่ ทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกาย ซึ่งก็รวมถึงเซลล์ผิวด้วย ทีนี้ก็หายงงกันแล้วใช่มั๊ยคะ
หากไม่อยากต้องเจอกับอาการท้องผูก ก็ต้องเหลียวมองตัวเองกันสักนิด ว่ามีพฤติกรรมการกินที่ดีหรือไม่
ขอแนะนำการกินที่จะช่วยให้ห่างไกลจากอาการท้องผูกได้
ควรเลือกกินอาหารประเภทที่มีกากใยสูงอย่างผักและผลไม้ให้ได้ทุกวัน
ในแต่ละวันควรมีการจัดสัดส่วนอาหารที่ดี คือ กินผักให้มากกว่าเนื้อสัตว์หรืออาหารทุกมื้อควรมีผัก
การกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ควรกินแต่น้อย และควรเลือกชนิดที่ย่อยง่ายและไขมันต่ำ อย่าง เช่น เนื้อปลา
อาหารจำพวกแป้ง อย่างข้าวและขนมปัง ควรเลือกกินประเภทไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีต เพราะมีกากใยอาหารที่ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่าย
จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องดื่มน้ำให้มาก ๆ อย่างน้อยก็วันละ 2 ลิตร ต่อวัน
ควรหลีกเลี่ยงการดื่ม ชา กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลาย
โดยธรรมชาติของร่างกาย การขับถ่ายถือเป็นการขับไล่ของเสีย และสารพิษออกจากร่างกาย ถ้าร่างกายเรามีการขับถ่ายที่ดีก็ถือว่าสุขภาพร่างกายอยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งในหัวข้อนี้จะขอพูดถึงแต่เรื่องการถ่ายหนัก หรือถ่ายอุจจาระ ถ้าการขับถ่ายมีปัญหา เช่น อุจจาระแข็ง หรือไม่ได้ถ่ายมาหลายวัน อาการที่ว่านี้ เรียกว่าท้องผูก ถึงแม้ว่าอาการท้องผูกจะไม่ได้รุนแรงอะไรมากนัก แต่ก็ส่งผลเสียต่อผิวพรรณและยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวารด้วย
หลายคนอาจงง อาการท้องผูกจะมาเกี่ยวข้องอะไรกับปัญหาผิวพรรณกันล่ะเนี่ย! เพราะถ้าร่างกายเราไม่ได้ขับไล่ของเสีย หรือเอาสารพิษออกไปให้พ้นจากร่างกาย แน่นอนว่า สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นที่ยังตกค้างอยู่ก็จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดใหม่ ทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกาย ซึ่งก็รวมถึงเซลล์ผิวด้วย ทีนี้ก็หายงงกันแล้วใช่มั๊ยคะ
หากไม่อยากต้องเจอกับอาการท้องผูก ก็ต้องเหลียวมองตัวเองกันสักนิด ว่ามีพฤติกรรมการกินที่ดีหรือไม่
ขอแนะนำการกินที่จะช่วยให้ห่างไกลจากอาการท้องผูกได้
ควรเลือกกินอาหารประเภทที่มีกากใยสูงอย่างผักและผลไม้ให้ได้ทุกวัน
ในแต่ละวันควรมีการจัดสัดส่วนอาหารที่ดี คือ กินผักให้มากกว่าเนื้อสัตว์หรืออาหารทุกมื้อควรมีผัก
การกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ควรกินแต่น้อย และควรเลือกชนิดที่ย่อยง่ายและไขมันต่ำ อย่าง เช่น เนื้อปลา
อาหารจำพวกแป้ง อย่างข้าวและขนมปัง ควรเลือกกินประเภทไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีต เพราะมีกากใยอาหารที่ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่าย
จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องดื่มน้ำให้มาก ๆ อย่างน้อยก็วันละ 2 ลิตร ต่อวัน
ควรหลีกเลี่ยงการดื่ม ชา กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลาย
วิธีชะลอรอยตีนกาอย่างง่ายๆ
ชะลอรอยตีนกาอย่างง่ายๆ
รอยตีนกาเป็นรอยที่บ่งบอกถึงวัยที่กำลังจะร่วงโรย อีกทั้งยังสามารถมาเยือนได้ตลอดเวลา การชะลอการเกิดตีนกาไม่ให้มาเยือนเร็วกว่าปกติ จึงดูแลผิวบริเวณรอบดวงตาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆที่ทำให้เกิดรอยตีนกา เช่น แสงแดด และมลภาวะ เป็นต้น เพราะทุกครั้งที่ผิวต้องเผชิญกับแสงแดดจ้าระหว่างวันเป็นเวลานาน จะทำให้คอลลาเจนถูกแสงแดดทำลายในที่สุดก็เปิดเป็นรอยตีนกาขึ้นมานั่นเอง อีกทั้งการจ้องมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยการเพ่ง หยีตา เป็นเวลานาน ก็มีผลทำให้เกิดรอยตีนกาก่อนวัยอันควรได้เช่นเดียวกัน การชะลอรอยตีนกา สามารถทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่นิยมมากที่สุดคือ หารทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้คอลลาเจนถูกทำลาย เอาใจใส่ในการรับประทานอาหารที่มีสารแอนติออกซิเดน เช่น ชาเขียว วิตามินจากผักและผลไม้สด เพื่อช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนที่หายไปให้คงอยู่เสมอ ทั้งนี้ปัจจัยในเรื่องความเครียดยังส่งผลทำให้เกิดรอยตีนกาง่ายกว่าปกติด้วย เป็นไปได้ก็ควรพักผ่อน เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดลง
อีกหนึ่งวิธีที่นำมาแนะนำกันในวันนี้คือ การชะลอรอยตีนกาด้วยการใช้น้ำเย็นล้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ วันละ 2-3 ครั้ง ริ้วรอยต่างๆที่ไม่พึงประสงค์ก็จะลดเลือนไปในไม่ช้า นอกจากนี้ ควรหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการช่วยลดเลือนริ้วรอยบริเวณรอบดวงตามาใช้ควบคู่กันด้วย เพื่อเป็นการชะลอและป้องกันริ้วรอยที่เกิดจากตีนกาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เป็นไงกันบ้างคะ เท่านี้รอยตีนกาก็ไม่อาจมาเยือนเราก่อนกำหนดได้แล้วล่ะคะ
รอยตีนกาเป็นรอยที่บ่งบอกถึงวัยที่กำลังจะร่วงโรย อีกทั้งยังสามารถมาเยือนได้ตลอดเวลา การชะลอการเกิดตีนกาไม่ให้มาเยือนเร็วกว่าปกติ จึงดูแลผิวบริเวณรอบดวงตาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆที่ทำให้เกิดรอยตีนกา เช่น แสงแดด และมลภาวะ เป็นต้น เพราะทุกครั้งที่ผิวต้องเผชิญกับแสงแดดจ้าระหว่างวันเป็นเวลานาน จะทำให้คอลลาเจนถูกแสงแดดทำลายในที่สุดก็เปิดเป็นรอยตีนกาขึ้นมานั่นเอง อีกทั้งการจ้องมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยการเพ่ง หยีตา เป็นเวลานาน ก็มีผลทำให้เกิดรอยตีนกาก่อนวัยอันควรได้เช่นเดียวกัน การชะลอรอยตีนกา สามารถทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่นิยมมากที่สุดคือ หารทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้คอลลาเจนถูกทำลาย เอาใจใส่ในการรับประทานอาหารที่มีสารแอนติออกซิเดน เช่น ชาเขียว วิตามินจากผักและผลไม้สด เพื่อช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนที่หายไปให้คงอยู่เสมอ ทั้งนี้ปัจจัยในเรื่องความเครียดยังส่งผลทำให้เกิดรอยตีนกาง่ายกว่าปกติด้วย เป็นไปได้ก็ควรพักผ่อน เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดลง
อีกหนึ่งวิธีที่นำมาแนะนำกันในวันนี้คือ การชะลอรอยตีนกาด้วยการใช้น้ำเย็นล้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ วันละ 2-3 ครั้ง ริ้วรอยต่างๆที่ไม่พึงประสงค์ก็จะลดเลือนไปในไม่ช้า นอกจากนี้ ควรหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการช่วยลดเลือนริ้วรอยบริเวณรอบดวงตามาใช้ควบคู่กันด้วย เพื่อเป็นการชะลอและป้องกันริ้วรอยที่เกิดจากตีนกาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เป็นไงกันบ้างคะ เท่านี้รอยตีนกาก็ไม่อาจมาเยือนเราก่อนกำหนดได้แล้วล่ะคะ
สาเหตุของการเกิดโรคปากเหม็นและวิธีรักษากลิ่นปาก
วิธีแก้ปากเหม็นสาเหตุของการเกิดโรคปากเหม็นและวิธีรักษากลิ่นปาก
สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องโรคปากเหม็นเหม็นแม้กระทั้งกลิ่นลมหายใจของคุณทั้งๆ ที่คุณแปรงฟันปกติล่ะก็อาจจะมีสาเหตุ ดังนี้ ชอบรับประทานเนื้อสัตว์ ชอบกินอาหารที่มีกลิ่นแรง ไม่ค่อยชอบรับประทานผักชอบทานอาหารเย็นมากกว่าอาหารร้อนโดยไม่ยอมอุ่นอาหารให้ร้อนก่อนโดยส่วนมากผู้ที่มีกลิ่นลมหายใจที่เหม็นมักจะมาจากผู้ที่ชอบรับประทานเนื้อสัตว์โดยที่คุณไม่รู้เลยว่าการย่อยเนื้อสัตว์ในร่างกายของเรานั้นทำได้ค่อนข้างยากมากต้องใช้พลังงานในตัวของคุณมากซึ่งกินเวลาถึง 3-4 วันเลยทีเดียวบางครั้งคุณอาจจะคิดว่าการทานเนื้อสัตว์มากๆ ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่เพราะเราก็ทานผัก และ ผลไม้ ตามหลังจากกินเนื้อสัตว์อยู่แล้วแต่จริงๆ ก็ช่วยได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นเองคุณควรที่จะรับประทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลงและหันมารับประทานพวกผักใบเขียวให้มากขึ้นควบคู่กันไปเพื่อที่ระบบย่อยอาหารของเราจะไม่ทำงานหนักจนเกินไปจนเกิดการสะสมซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คุณนั้นมีกลิ่นปากแรงลมหายใจเหม็นนั่นเองและการสะสมของเนื้อสัตว์นั้นยังทำให้ อะดรีนาลีน ที่สะสมอยู่ในเนื้อสัตว์ทำให้หัวใจของเรานั้นเกิดการทำงานอย่างหนักเกิดความวะไม่สมดุลย์ทางร่างกายซึ่งอาจจะก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ขึ้นได้อีกด้วย
วิธีแก้ปัญหา กลิ่นปากเหม็น และกลิ่นเหม็นลมหายใจ
1.การดื่มน้ำในช่วงตื่นนอน 2-3 แก้ว เป้นการขับของเสียออกจากลำใส่ของคุณเองได้เป็นอย่างดี ส่วนใครที่ท้องผูกมีปัญหาในเรื่องของการขับถ่ายให้คุณดื่มน้ำมะพร้าวสะกัดเย็น 2 ช้อนโต๊ะจะช่วยให้คุนั้นสามารถถ่ายของเสียออกมาได้
2.คุณควรที่จะรับประทานอาหารเช้าให้ตรงเวลา คือ 7-9 โมงเช้า ไม่ควรที่จะเกินนี้เพราะเป็นช่วงเวลาที่ระบบของกระเพาะอาหารของคุณนั้นกำลังทำงานนั่นเอง
3.งดการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนผสมอยู่ เช่น กาแฟ แม้ว่ามันจะทำให้คุณนั้นมีกลิ่นลมหายใจที่แรงและติดค้างในลำไส้ได้ง่ายเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คุณมีกลิ่นลมหายใจแรง
4.ทานผักสม่ำเสมอ เพราะจะช่วยกวาดเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ออกได้จะได้ลดการสะสมในลำไส้
5.ลดการทานพวกขนมหวานๆ นมเปรี้ยว หรือ นม ต่างๆ ลงอย่าทาน หรือ ดื่มบ่อยจนเกินไป
ถ้าคุณทำตามที่เราบอกเบื้อต้นได้รับลองว่าสุขภาพลำไส้ของคุณจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอนส่วนใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับช่องปากแนะนำให้ไปให้หมอฟันตรวจดูช่องปากบ้างนะค่ะเพราะบางทีกลิ่นปากอาจจะเกิดจากการสะสมของหินปูนและแบคทีเรียก็ได้เช่นกัน
สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องโรคปากเหม็นเหม็นแม้กระทั้งกลิ่นลมหายใจของคุณทั้งๆ ที่คุณแปรงฟันปกติล่ะก็อาจจะมีสาเหตุ ดังนี้ ชอบรับประทานเนื้อสัตว์ ชอบกินอาหารที่มีกลิ่นแรง ไม่ค่อยชอบรับประทานผักชอบทานอาหารเย็นมากกว่าอาหารร้อนโดยไม่ยอมอุ่นอาหารให้ร้อนก่อนโดยส่วนมากผู้ที่มีกลิ่นลมหายใจที่เหม็นมักจะมาจากผู้ที่ชอบรับประทานเนื้อสัตว์โดยที่คุณไม่รู้เลยว่าการย่อยเนื้อสัตว์ในร่างกายของเรานั้นทำได้ค่อนข้างยากมากต้องใช้พลังงานในตัวของคุณมากซึ่งกินเวลาถึง 3-4 วันเลยทีเดียวบางครั้งคุณอาจจะคิดว่าการทานเนื้อสัตว์มากๆ ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่เพราะเราก็ทานผัก และ ผลไม้ ตามหลังจากกินเนื้อสัตว์อยู่แล้วแต่จริงๆ ก็ช่วยได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นเองคุณควรที่จะรับประทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลงและหันมารับประทานพวกผักใบเขียวให้มากขึ้นควบคู่กันไปเพื่อที่ระบบย่อยอาหารของเราจะไม่ทำงานหนักจนเกินไปจนเกิดการสะสมซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คุณนั้นมีกลิ่นปากแรงลมหายใจเหม็นนั่นเองและการสะสมของเนื้อสัตว์นั้นยังทำให้ อะดรีนาลีน ที่สะสมอยู่ในเนื้อสัตว์ทำให้หัวใจของเรานั้นเกิดการทำงานอย่างหนักเกิดความวะไม่สมดุลย์ทางร่างกายซึ่งอาจจะก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ขึ้นได้อีกด้วย
วิธีแก้ปัญหา กลิ่นปากเหม็น และกลิ่นเหม็นลมหายใจ
1.การดื่มน้ำในช่วงตื่นนอน 2-3 แก้ว เป้นการขับของเสียออกจากลำใส่ของคุณเองได้เป็นอย่างดี ส่วนใครที่ท้องผูกมีปัญหาในเรื่องของการขับถ่ายให้คุณดื่มน้ำมะพร้าวสะกัดเย็น 2 ช้อนโต๊ะจะช่วยให้คุนั้นสามารถถ่ายของเสียออกมาได้
2.คุณควรที่จะรับประทานอาหารเช้าให้ตรงเวลา คือ 7-9 โมงเช้า ไม่ควรที่จะเกินนี้เพราะเป็นช่วงเวลาที่ระบบของกระเพาะอาหารของคุณนั้นกำลังทำงานนั่นเอง
3.งดการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนผสมอยู่ เช่น กาแฟ แม้ว่ามันจะทำให้คุณนั้นมีกลิ่นลมหายใจที่แรงและติดค้างในลำไส้ได้ง่ายเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คุณมีกลิ่นลมหายใจแรง
4.ทานผักสม่ำเสมอ เพราะจะช่วยกวาดเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ออกได้จะได้ลดการสะสมในลำไส้
5.ลดการทานพวกขนมหวานๆ นมเปรี้ยว หรือ นม ต่างๆ ลงอย่าทาน หรือ ดื่มบ่อยจนเกินไป
ถ้าคุณทำตามที่เราบอกเบื้อต้นได้รับลองว่าสุขภาพลำไส้ของคุณจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอนส่วนใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับช่องปากแนะนำให้ไปให้หมอฟันตรวจดูช่องปากบ้างนะค่ะเพราะบางทีกลิ่นปากอาจจะเกิดจากการสะสมของหินปูนและแบคทีเรียก็ได้เช่นกัน
วิธีแก้ตาแห้งเมื่อดวงตาไม่มีน้ำหล่อเลี้ยง
![]() |
ดวงตา |
ดวงตาแห้งผาก อาจทำให้เสน่ห์และความสวยงามของดวงตาลดลงได้ เพราะดวงตาขาดน้ำหล่อเลี้ยง ทำให้ดวงตาไม่เปล่งประกายที่สดใสและงดงาม เมื่อเกิดปัญหาตาแห้งจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร เพื่อให้ดวงตาที่เคยแห้งผากนั้น กลับมาดูเปล่งประกายแวววาวอีกครั้งหนึ่ง
สาเหตุที่ตาแห้งมาจากความผิดปกติของน้ำตาที่ผลิตออกมาหล่อเลี้ยงดวงตาน้อย จึงมักทำให้เกิดอาการตาแห้ง อาการตาแห้งพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย พบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่อย่าเพิ่งกังวลใจไป เพราะอาการตาแห้งส่วนใหญ่มักไม่มีอันตราย เพียงทำให้รู้สึกรำคาญเท่านั้น เทคนิคในการช่วยให้ดวงตาคู่สวยของคุณมีความชุ่มชื้นและน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลาคือ การหมั่นกระพริบตาถี่ๆ เพราะทุกครั้งที่มีการกระพริบตาเปลือกตาจะรีดน้ำตาลงมาฉาบกระจกตาไว้ แต่หากคุณกำลังดำเนินกิจกรรมบางอย่างเช่น อ่านหนังสือ ดูทีวี หรือกำลังจดจ้องอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานาน ก็อาจทำให้ดวงตาแห้งได้ ดังนั้นจึงควรพักสายตาอย่างน้อย 5 – 10 นาที หรือหากดวงตาแห้งมากและมีอาการเมื่อยล้า ให้ลองประคบด้วยน้ำเย็นประมาณ 20 นาที ก็จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตาคู่สวยของคุณได้เช่นกัน อีกหนึ่งวิธีคือการรักษาอาการตาแห้งยังสามารถทำได้ โดยใช้สำลีชุบน้ำที่ต้มดอกดาวเรืองมาแปะเอาไว้ที่บริเวณรอบดวงตา ทำเช่นนี้บ่อยๆ ก็จะทำให้น้ำหล่อเลี้ยงดวงตากลับคืนมาในไม้ช้า
นอกจากนี้ ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดตาแห้งด้วย เช่น ไม่อยู่ในที่ที่มีแสงจ้าและลมแรง เพราะจะยิ่งทำให้ตาแห้งเร็วยิ่งขึ้น หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีอาการแห้งมากๆ ที่สำคัญอย่าลืมนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพออาจทำให้ตาแห้งและบวมแดงได้ง่าย
วิธีรักษาโรคกระเพาะ และ โรคกรดไหลย้อน
วิธีรักษาโรคกระเพาะ และ โรคกรดไหลย้อน
โรคกระเพาอาหาร หรือ โรคกรดไหลย้อนนั้นถือว่าเป็นโรคยอดฮิตที่คนมักจะเป็นกันเยอะมากเป็นโรคที่เกี่ยวก้องกับระบบทางเดินอาหารของคุณนั่นเองแม้ว่า 2 โรคนี้จะเป็นโรคที่หลายๆ คนอาจจะคิดว่าไม่เห้นจะน่ากลัวอะไรเลยใครๆ ก็เป็นกันออกจะเยอะแยะแต่คุณอาจจะยังไม่ทราบว่าโรคกระเพาะ และ โรคกรดไหลย้อน นั้นอาจจะนำไปสู่อันตรายร้ายแรงได้เช่นกันเพราะคุณอาจจะเกิดป่วยเป็นโรคแทรกซ้อนได้ทุกเมื่อเมื่อร่างกายของคุณส่วนใดส่วนหนึ่งนั้นมีอาการเจ็บป่วยในบางครั้งคุณอาจจะคิดว่าเป็นโรคกระเพาะ และ โรคกรดไหลย้อน แค่รับประทานยาก็พอแล้วนี่แต่จริงๆ แล้วถ้าคุณรับประทานยาไปแต่ไม่เปลี่ยนนิสัยในการกินอยู่ของคุณล่ะก็อาจจะทำให้เกิดผลเสียได้เช่นกันเพราะโรคพวกนี้มักที่จะเป็นโรคเรื้อรังและอาจจะไม่หายขาดถ้าคุณยังไม่มีวินัยในการกินอาหารอยู่เช่นเดิม โดยส่วนมากถ้าคุณเป็นโรคกระเพาะ และ โรคกรดไหลย้อน จะมีโรคของแถมตามมาดังนี้ ท้องอืด จุกเสียด แน่นบริเวณท้อง ปวดตามเส้นทั่วร่างกาย หายใจไม่สบาย นอนหลับยากมากซึ่งแน่นอนว่าอาการเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายตัวป่วยร่างกายไม่สดใสแน่นอนในปัจจุบันนี้มีคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับทางระบบทางเดินอาหารมากกว่า 80 % ซึ่งถือว่ามากเลยทีเดียวเป็นโรคที่คุณไม่ควรจะมองข้ามในเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด
วิธีรักษาโรคกระเพาะ และ โรคกรดไหลย้อน
ควรงดรับประทานกาแฟเพราะไม่ดีต่อร่างกายของเรา อย่านอนดึกเกินไปควรที่จะนอนก่อนเวลา 5 ทุ่ม ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาต่อกระเพาะอาหารของคุณได้พยายามหลีกเลี่ยงการกินน้ำเย็นบ่อยจนเกินไป รวมถึงเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์ในการทำให้เย็น ดังนี้ ชาเขียว นมถั่วเหลือง เป็นต้น และ พวกอาหารจำพวก เนื้อสัตว์ ไขมัน แป้ง เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้กระเพาะอาหารของเราย่อยได้ไม่ค่อยดีนัก
สิ่งที่คุณควรจะทำก็คือ การดื่มน้ำเอนไซม์ หรือ แอปเปิ้ลไซเดอร์หลังรับประทานอาหารทันทีถือเป็นการช่วยในการรักษาระบบทางเดินอาหารของคุณเบื้อต้นนั่นเองและควรที่จะนวดบริเวณท้องและตัวเพื่อไล่ลมออกจากร่างกายด้วย และ ที่สำคัญคือห้ามรับประทานยาลดกรดบ่อยจนเกินไป แก้ไขนิสัยการกินไม่ตรงเวลาของตัวคุณเองให้ได้ หมั่นออกกำลังกายเบาๆ ด้วยการเล่นโยคะเพื่อให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีเล่นโยคะสักประมาณ 1 ชั่วโมงก็ได้เพื่อกระตุ้นเส้นลมปราณภายในร่างกายของคุณเพราะการเล่นโยคะนั้นยังช่วยลดอาการการตึงเส้นของร่างกายของเราได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
โรคกระเพาอาหาร หรือ โรคกรดไหลย้อนนั้นถือว่าเป็นโรคยอดฮิตที่คนมักจะเป็นกันเยอะมากเป็นโรคที่เกี่ยวก้องกับระบบทางเดินอาหารของคุณนั่นเองแม้ว่า 2 โรคนี้จะเป็นโรคที่หลายๆ คนอาจจะคิดว่าไม่เห้นจะน่ากลัวอะไรเลยใครๆ ก็เป็นกันออกจะเยอะแยะแต่คุณอาจจะยังไม่ทราบว่าโรคกระเพาะ และ โรคกรดไหลย้อน นั้นอาจจะนำไปสู่อันตรายร้ายแรงได้เช่นกันเพราะคุณอาจจะเกิดป่วยเป็นโรคแทรกซ้อนได้ทุกเมื่อเมื่อร่างกายของคุณส่วนใดส่วนหนึ่งนั้นมีอาการเจ็บป่วยในบางครั้งคุณอาจจะคิดว่าเป็นโรคกระเพาะ และ โรคกรดไหลย้อน แค่รับประทานยาก็พอแล้วนี่แต่จริงๆ แล้วถ้าคุณรับประทานยาไปแต่ไม่เปลี่ยนนิสัยในการกินอยู่ของคุณล่ะก็อาจจะทำให้เกิดผลเสียได้เช่นกันเพราะโรคพวกนี้มักที่จะเป็นโรคเรื้อรังและอาจจะไม่หายขาดถ้าคุณยังไม่มีวินัยในการกินอาหารอยู่เช่นเดิม โดยส่วนมากถ้าคุณเป็นโรคกระเพาะ และ โรคกรดไหลย้อน จะมีโรคของแถมตามมาดังนี้ ท้องอืด จุกเสียด แน่นบริเวณท้อง ปวดตามเส้นทั่วร่างกาย หายใจไม่สบาย นอนหลับยากมากซึ่งแน่นอนว่าอาการเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายตัวป่วยร่างกายไม่สดใสแน่นอนในปัจจุบันนี้มีคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับทางระบบทางเดินอาหารมากกว่า 80 % ซึ่งถือว่ามากเลยทีเดียวเป็นโรคที่คุณไม่ควรจะมองข้ามในเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด
วิธีรักษาโรคกระเพาะ และ โรคกรดไหลย้อน
ควรงดรับประทานกาแฟเพราะไม่ดีต่อร่างกายของเรา อย่านอนดึกเกินไปควรที่จะนอนก่อนเวลา 5 ทุ่ม ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาต่อกระเพาะอาหารของคุณได้พยายามหลีกเลี่ยงการกินน้ำเย็นบ่อยจนเกินไป รวมถึงเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์ในการทำให้เย็น ดังนี้ ชาเขียว นมถั่วเหลือง เป็นต้น และ พวกอาหารจำพวก เนื้อสัตว์ ไขมัน แป้ง เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้กระเพาะอาหารของเราย่อยได้ไม่ค่อยดีนัก
สิ่งที่คุณควรจะทำก็คือ การดื่มน้ำเอนไซม์ หรือ แอปเปิ้ลไซเดอร์หลังรับประทานอาหารทันทีถือเป็นการช่วยในการรักษาระบบทางเดินอาหารของคุณเบื้อต้นนั่นเองและควรที่จะนวดบริเวณท้องและตัวเพื่อไล่ลมออกจากร่างกายด้วย และ ที่สำคัญคือห้ามรับประทานยาลดกรดบ่อยจนเกินไป แก้ไขนิสัยการกินไม่ตรงเวลาของตัวคุณเองให้ได้ หมั่นออกกำลังกายเบาๆ ด้วยการเล่นโยคะเพื่อให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีเล่นโยคะสักประมาณ 1 ชั่วโมงก็ได้เพื่อกระตุ้นเส้นลมปราณภายในร่างกายของคุณเพราะการเล่นโยคะนั้นยังช่วยลดอาการการตึงเส้นของร่างกายของเราได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ดูแลและปกป้องเล็บอย่างถูกวิธี
ดูแลและปกป้องเล็บอย่างถูกวิธี
ทั้งเล็บมือ และเล็บเท้าต้องสะอาดอยู่เสมอ เวลาอาบน้ำควรใช้สบู่ล้างด้วย หรืออาจใช้แปรงอันเล็กขัดถูที่เล็บอย่างเบามือ เพื่อช่วยกระตุ้นให้เลือดบริเวณนั้นไหลเวียนได้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เล็บเท้าเพราะการไหลเวียนของเลือดบริเวณนิ้วเท้าจะไม่ดีเท่ากับนิ้วมือ
ดูแลเล็บให้เหมือนกับดูแลผิวพรรณคือ หลังจากทำความสะอาดควรใช้ผ้าขนหนูซับให้แห้ง แล้วทาด้วยโลชั่นบำรุงที่บริเวณโคนเล็บด้วยเพื่อช่วยให้บริเวณนั้นนุ่มนวล ไม่ขาดคามชุ่มชื้น และแห้งกร้าน
การทาสีเล็บถือเป็นการทำลายสุขภาพเล็บถ้าเลี่ยงได้ก็จะดีไม่น้อย
เพื่อป้องกันปัญหาเล็บคุด ควรตัดเล็บให้เป็นแนวตรงเสมอกัน
ขณะที่คุณคีบบุหรี่สารทาร์ หรือน้ำมันดินที่ลอยล่องออกมาพร้อมกับควันบุหรี่ เป็นตัวการที่ทำให้เล็บเหลือง ว่าแล้วก็เลิกสูบบุหรี่กันดีกว่า
ไม่ควรเดินเท้าเปล่าในที่สาธารณะที่เปียกชื้น อย่างเช่น สระว่ายน้ำ และห้องอาบน้ำ เพราะมีโอกาสที่จะติดเชื้อโรคที่เท้าได้
รองเท้า ถุงเท้าที่สวมใส่ควรเลือกชนิดที่ไม่อับชื้น และไม่ซึมซับเหงื่อ เพราะความอับชื้นเป็นแหล่งที่ดียิ่งต่อกาเจริญเติบโตของเชื้อรา
เลิกพฤติกรรมมือไม้อยู่ไม่สุข หยิบฉวยอะไรมาแคะเล็บเพราะถ้าเกิดบาดแผลขึ้นอาจทำให้ติดเชื้อที่เล็บได้
ทั้งเล็บมือ และเล็บเท้าต้องสะอาดอยู่เสมอ เวลาอาบน้ำควรใช้สบู่ล้างด้วย หรืออาจใช้แปรงอันเล็กขัดถูที่เล็บอย่างเบามือ เพื่อช่วยกระตุ้นให้เลือดบริเวณนั้นไหลเวียนได้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เล็บเท้าเพราะการไหลเวียนของเลือดบริเวณนิ้วเท้าจะไม่ดีเท่ากับนิ้วมือ
ดูแลเล็บให้เหมือนกับดูแลผิวพรรณคือ หลังจากทำความสะอาดควรใช้ผ้าขนหนูซับให้แห้ง แล้วทาด้วยโลชั่นบำรุงที่บริเวณโคนเล็บด้วยเพื่อช่วยให้บริเวณนั้นนุ่มนวล ไม่ขาดคามชุ่มชื้น และแห้งกร้าน
การทาสีเล็บถือเป็นการทำลายสุขภาพเล็บถ้าเลี่ยงได้ก็จะดีไม่น้อย
เพื่อป้องกันปัญหาเล็บคุด ควรตัดเล็บให้เป็นแนวตรงเสมอกัน
ขณะที่คุณคีบบุหรี่สารทาร์ หรือน้ำมันดินที่ลอยล่องออกมาพร้อมกับควันบุหรี่ เป็นตัวการที่ทำให้เล็บเหลือง ว่าแล้วก็เลิกสูบบุหรี่กันดีกว่า
ไม่ควรเดินเท้าเปล่าในที่สาธารณะที่เปียกชื้น อย่างเช่น สระว่ายน้ำ และห้องอาบน้ำ เพราะมีโอกาสที่จะติดเชื้อโรคที่เท้าได้
รองเท้า ถุงเท้าที่สวมใส่ควรเลือกชนิดที่ไม่อับชื้น และไม่ซึมซับเหงื่อ เพราะความอับชื้นเป็นแหล่งที่ดียิ่งต่อกาเจริญเติบโตของเชื้อรา
เลิกพฤติกรรมมือไม้อยู่ไม่สุข หยิบฉวยอะไรมาแคะเล็บเพราะถ้าเกิดบาดแผลขึ้นอาจทำให้ติดเชื้อที่เล็บได้
สูตรสลายนิ่วในไตง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง
สูตรสลายนิ่วในไตง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง
ไม่ว่า#โรคนิ่วในไต หรือ #นิ่วในถุงน้ำดี นั้นเกิดมาจาจากสาเหตุอะไรการเป็นโรคนิ่วที่เราได้กล่าวมานั้นมักจะชอบเกิดร่วมกันหรือมีลักษณะคล้ายๆ กันนั่นเองก่อนที่จะไปทราบสูตรที่ใช้สำหรับการสลายนิ่วในไตเรามาทำความรู้จักกับโรคนิ่วกันก่อนดีกว่าค่ะว่านิ่วนั้นคืออะไรและเกิดมาจากอะไรจริงๆ แล้วโรคนิ่วในไตนั้นเกิดมาจากการตกตผลึกของของเสียที่ถูกขับออกมาทางปัสสาวะของคุณนั่นเองในบางครั้งเรานั้นอาจจะมีปัสสาวะสีเข้มมากจนอาจจะทำให้มีการตกตะกอนและอาจจะทำให้คุณเป็นนิ่วได้แต่จริงๆ แล้วปัสสาวะของเรานั้นก็ไม่ได้ส่งผลแย่อย่างเดียวเพราะในปัสสาวะของเรานั้นมีสารที่สลายนิ้วหรือช่วยยับยั้งนิ่วอยู่ถึงหลายชนิดด้วยนั่นเอง เช่น ซิเทรต และ แมกนีเซียม แต่สารเหล่านี้ที่มีมีอยู่ในฉี่นั้นจะไม่สามารถช่วยคุณได้หากระบบการเผาผลาญของคุณนั้นเกิดการทำงานที่ปกติถ้าเป็นเช่นนี้จะทำให้ซิเทรตภายในร่างกายของคุณนั้นเกิดความผิดปกติหรือเกิดการทำงานที่ต่ำด้วยนั่นเองซึ่งพบง่ายมากถึง 70-90 เลยทีเดียวในกลุ่มของผู้ที่ป่วยเป็นโรคนิ่วนั่นเองบางทีสาเหตุที่คุณเป็นนิ่งนั้นอาจจะเกิดจากสารยับยั้งนิ้วของคุณนั้นมีปัญหาก็ได้ซึ่งตะกอนที่ตกตะกอนนี้อาจจะก่อตัวเป็นขนาดใหญ่จนเกิดเป็นก้อนเล็กๆ และจะถูกขับถ่ายออกมาพร้อมปัสสาวะแต่ในกรณีนี้ถ้าเกิดตะกอนไม่ถูกขับออกจากไตของคุณล่ะก็อาจจะเกิดเป็นนิ่วที่อุดตันทางเดินปัสสาวะของคุณได้ถ้านิ่วของคุณมีขนาดใหญ่อุดตันล่ะก็ก้อนนิ่วอาจจะหลุดออกมาจากบริเวณท่อไตซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยนั้นอาจจะเกิดการปวดท้องอย่างรุนแรงเฉียบพลัน
วิธีสลายนิ่วในไตง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง
1.ใช้สารส้ม+น้ำมะพร้าว ส่วนวิธีนั้นให้คุณนำสารส้มก้อนเล็กๆ มาแกว่งในน้ำมะพร้าวอ่อนสักประมาณ 3 รอบ ให้คุณดื่มวันล่ะหลายๆ ลูกยิ่งดี ยิ่งคุณเป็นนิ่วสะสมมานานยิ่งจำเป็นอย่างมากที่คุณจะต้องดื่มวันล่ะหลายๆ ลูกนิ่วในไตของคุณจะได้สลายได้เร็วขึ้นนั่นเอง
2.ใบรางจืด + ใบเตย ให้คุณใช้ประมาณ 5-6 ใบ ต่อชนิดนำมาต้มผสมกับน้ำเพื่อดื่มให้คุณดื่มเป็นประจำช่วยได้มากเลยทีเดียว
3.ลูกเดือยต้มน้ำ แยกเอาเฉพาะส่วนน้ำสีขาวๆ ของลูกเดือยให้คุณดื่มเป็นประจำพอน้ำสีขาวๆ หมดคุณก็สามารถเอาน้ำใส่ลงไปแล้วต้มกินต่อได้อีกครั้งกินเป็นประจำ
ไม่ว่า#โรคนิ่วในไต หรือ #นิ่วในถุงน้ำดี นั้นเกิดมาจาจากสาเหตุอะไรการเป็นโรคนิ่วที่เราได้กล่าวมานั้นมักจะชอบเกิดร่วมกันหรือมีลักษณะคล้ายๆ กันนั่นเองก่อนที่จะไปทราบสูตรที่ใช้สำหรับการสลายนิ่วในไตเรามาทำความรู้จักกับโรคนิ่วกันก่อนดีกว่าค่ะว่านิ่วนั้นคืออะไรและเกิดมาจากอะไรจริงๆ แล้วโรคนิ่วในไตนั้นเกิดมาจากการตกตผลึกของของเสียที่ถูกขับออกมาทางปัสสาวะของคุณนั่นเองในบางครั้งเรานั้นอาจจะมีปัสสาวะสีเข้มมากจนอาจจะทำให้มีการตกตะกอนและอาจจะทำให้คุณเป็นนิ่วได้แต่จริงๆ แล้วปัสสาวะของเรานั้นก็ไม่ได้ส่งผลแย่อย่างเดียวเพราะในปัสสาวะของเรานั้นมีสารที่สลายนิ้วหรือช่วยยับยั้งนิ่วอยู่ถึงหลายชนิดด้วยนั่นเอง เช่น ซิเทรต และ แมกนีเซียม แต่สารเหล่านี้ที่มีมีอยู่ในฉี่นั้นจะไม่สามารถช่วยคุณได้หากระบบการเผาผลาญของคุณนั้นเกิดการทำงานที่ปกติถ้าเป็นเช่นนี้จะทำให้ซิเทรตภายในร่างกายของคุณนั้นเกิดความผิดปกติหรือเกิดการทำงานที่ต่ำด้วยนั่นเองซึ่งพบง่ายมากถึง 70-90 เลยทีเดียวในกลุ่มของผู้ที่ป่วยเป็นโรคนิ่วนั่นเองบางทีสาเหตุที่คุณเป็นนิ่งนั้นอาจจะเกิดจากสารยับยั้งนิ้วของคุณนั้นมีปัญหาก็ได้ซึ่งตะกอนที่ตกตะกอนนี้อาจจะก่อตัวเป็นขนาดใหญ่จนเกิดเป็นก้อนเล็กๆ และจะถูกขับถ่ายออกมาพร้อมปัสสาวะแต่ในกรณีนี้ถ้าเกิดตะกอนไม่ถูกขับออกจากไตของคุณล่ะก็อาจจะเกิดเป็นนิ่วที่อุดตันทางเดินปัสสาวะของคุณได้ถ้านิ่วของคุณมีขนาดใหญ่อุดตันล่ะก็ก้อนนิ่วอาจจะหลุดออกมาจากบริเวณท่อไตซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยนั้นอาจจะเกิดการปวดท้องอย่างรุนแรงเฉียบพลัน
วิธีสลายนิ่วในไตง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง
1.ใช้สารส้ม+น้ำมะพร้าว ส่วนวิธีนั้นให้คุณนำสารส้มก้อนเล็กๆ มาแกว่งในน้ำมะพร้าวอ่อนสักประมาณ 3 รอบ ให้คุณดื่มวันล่ะหลายๆ ลูกยิ่งดี ยิ่งคุณเป็นนิ่วสะสมมานานยิ่งจำเป็นอย่างมากที่คุณจะต้องดื่มวันล่ะหลายๆ ลูกนิ่วในไตของคุณจะได้สลายได้เร็วขึ้นนั่นเอง
2.ใบรางจืด + ใบเตย ให้คุณใช้ประมาณ 5-6 ใบ ต่อชนิดนำมาต้มผสมกับน้ำเพื่อดื่มให้คุณดื่มเป็นประจำช่วยได้มากเลยทีเดียว
3.ลูกเดือยต้มน้ำ แยกเอาเฉพาะส่วนน้ำสีขาวๆ ของลูกเดือยให้คุณดื่มเป็นประจำพอน้ำสีขาวๆ หมดคุณก็สามารถเอาน้ำใส่ลงไปแล้วต้มกินต่อได้อีกครั้งกินเป็นประจำ
ป้ายกำกับ:
นิ่ว
,
นิ่วในไต
,
วิธี
,
สมุนไพร
,
สุขภาพความงาม
,
อาหาร
เขียนโดย
อ้อยิ้ม
ไม่มีความคิดเห็น
:

วิธีป้องกันนิ่วในถุงน้ำดี
#วิธี ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดี
#นิ่วในถุงน้ำดี ถือเป็นอีกหนึ่งโรคที่หน้ากลัวเพราะถ้าคุณเป็นหนักขึ้นมาจะมีอาการเจ็บท้องอย่างเฉียบพลันและต้องรีบนับส่งโรงพยาบาลด่วนเพื่อเข้ารับการผ่าตัดนำนิ่วออกเพราะไม่เช่นนั้นร่างกายของเราจะเริ่มหยุดการทำงานเนื่องจากก้อนนิ่วนี้ไปขวางทางของทางเดินถุงน้ำดีให้เกิดการอุดตันนั่นเอง คุณอาจจะยังไม่ทราบว่าการที่คุณดื่มน้ำในแต่ล่ะวันในปริมาณที่น้อยจนเกินไปจะทำให้ตะกอนที่สะสมอยู่ในถุงน้ำดีนั้นไม่ถูกขับถ่ายออกมาพร้อมกับปัสสาวะทำให้สะสมกันเป็นก้อนซึ่งไม่ดีเป้นอย่างมาก และ ที่สำคัญคือโรคนิ่วนั้นจะส่งผลให้คุณมีอาการเจ็บป่วย ดังนี้ ปวดขาด้านข้าง ปวดตามชายโคลง นอนไม่ค่อยหลับ เป็นหวัดบ่อย เป็นภูมิแพ้ง่าย เป็นต้น สารพัดจะเป็นเลยทีเดียวแถมในบางครั้งอาจจะเป็นหนักถึงขนาดทำให้หูแว่วจนอาจจะทำให้เกิดอาการทางจิตอีกด้วยซึ่งอาการเหล่านี้นั้นจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นถ้ามีอาการดังนี้ประจำและนับวันยิ่งหนักขึ้นคุณควรให้หมอตรวจเช็คสุขภาพร่างกายของคุณเพื่อเป็นอะไรจะได้รักษาทันตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้ปลอดภัยค่ะ
จริงๆ แล้วนิ่วยังเกิดมาจากการสูญเสียน้ำหรือขาดน้ำในร่างกายอีกด้วยเนื่องจากบ้านเราเป้นเมืองร้อนร่างกายจึงสูญเสียน้ำเป็นจำนวนมากในแต่ล่ะวันถ้าคุณไม่ค่อยชอบดื่มน้ำหรือชอบดื่มน้ำน้อยๆ ในแต่ล่ะวันก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นนิ่วเช่นกัน ดังนั้นเราจึงมีสูตรแก้อาการสูญเสียน้ำในร่างกายมาฝากกัน ดังนี้
1.โยเกิร์ตรสออริจินัลหรือรสธรรมชาติเท่านั้นให้คุณนำมาผสมกับนมจืด 1 กล่องเติมน้ำผึ้งและน้ำมะนาวลงไป น้ำผึ้ง 3-5 ช้อนชา น้ำมะนาว 1-2 ช้อนชา หลังจากนั้นนำมาผสมรวมกันแล้วให้คุณวางทิ้งไว้อย่างน้อยประมาณ 15 นาทีอย่าเพิ่งดื่มในทันทีรอให้ฟูก่อนแล้วค่อยดื่ม ดื่มวันล่ะครั้งและถ้าคุณดื่มมันในช่วงเช้ายังช่วยคุณในการลดน้ำหนักอีกด้วยแต่กลับกันคือถ้าคุณทานในช่วงบ่ายจะทำให้น้ำหนักตัวของคุณพุ่งพรวดขึ้นได้
2.ทำชามะละกอผสมเก๊กฮวย ให้คุณนำมะละกอแบบดิบๆ มาปลอกเปลือกและล้างยางออกให้หมดด้วยน้ำที่สะอาดแล้วอย่าลืมเอาเม็ดออกก่อนด้วยนะค่ะแล้วให้คุณนำมาหั่นเป็นชิ้นประมาณ 6-8 ชิ้น หลังจากนั้นให้คุณต้มน้ำร้อนทิ้งเอาไว้แล้วนำมะละกอลงไปร่วมกับดอกเก๊กฮวยแล้วจึงนำผงชาเขียวลงไปต้มด้วยแช่ทิ้งเอาไว้ประมาณ 5 นาที ก็เสร็จเรียบร้อยรอให้อุ่นๆ แล้วค่อยนำมาดื่มเป็นประจำทุกๆ เช้าจะช่วยคุณได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว
#นิ่วในถุงน้ำดี ถือเป็นอีกหนึ่งโรคที่หน้ากลัวเพราะถ้าคุณเป็นหนักขึ้นมาจะมีอาการเจ็บท้องอย่างเฉียบพลันและต้องรีบนับส่งโรงพยาบาลด่วนเพื่อเข้ารับการผ่าตัดนำนิ่วออกเพราะไม่เช่นนั้นร่างกายของเราจะเริ่มหยุดการทำงานเนื่องจากก้อนนิ่วนี้ไปขวางทางของทางเดินถุงน้ำดีให้เกิดการอุดตันนั่นเอง คุณอาจจะยังไม่ทราบว่าการที่คุณดื่มน้ำในแต่ล่ะวันในปริมาณที่น้อยจนเกินไปจะทำให้ตะกอนที่สะสมอยู่ในถุงน้ำดีนั้นไม่ถูกขับถ่ายออกมาพร้อมกับปัสสาวะทำให้สะสมกันเป็นก้อนซึ่งไม่ดีเป้นอย่างมาก และ ที่สำคัญคือโรคนิ่วนั้นจะส่งผลให้คุณมีอาการเจ็บป่วย ดังนี้ ปวดขาด้านข้าง ปวดตามชายโคลง นอนไม่ค่อยหลับ เป็นหวัดบ่อย เป็นภูมิแพ้ง่าย เป็นต้น สารพัดจะเป็นเลยทีเดียวแถมในบางครั้งอาจจะเป็นหนักถึงขนาดทำให้หูแว่วจนอาจจะทำให้เกิดอาการทางจิตอีกด้วยซึ่งอาการเหล่านี้นั้นจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นถ้ามีอาการดังนี้ประจำและนับวันยิ่งหนักขึ้นคุณควรให้หมอตรวจเช็คสุขภาพร่างกายของคุณเพื่อเป็นอะไรจะได้รักษาทันตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้ปลอดภัยค่ะ
จริงๆ แล้วนิ่วยังเกิดมาจากการสูญเสียน้ำหรือขาดน้ำในร่างกายอีกด้วยเนื่องจากบ้านเราเป้นเมืองร้อนร่างกายจึงสูญเสียน้ำเป็นจำนวนมากในแต่ล่ะวันถ้าคุณไม่ค่อยชอบดื่มน้ำหรือชอบดื่มน้ำน้อยๆ ในแต่ล่ะวันก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นนิ่วเช่นกัน ดังนั้นเราจึงมีสูตรแก้อาการสูญเสียน้ำในร่างกายมาฝากกัน ดังนี้
1.โยเกิร์ตรสออริจินัลหรือรสธรรมชาติเท่านั้นให้คุณนำมาผสมกับนมจืด 1 กล่องเติมน้ำผึ้งและน้ำมะนาวลงไป น้ำผึ้ง 3-5 ช้อนชา น้ำมะนาว 1-2 ช้อนชา หลังจากนั้นนำมาผสมรวมกันแล้วให้คุณวางทิ้งไว้อย่างน้อยประมาณ 15 นาทีอย่าเพิ่งดื่มในทันทีรอให้ฟูก่อนแล้วค่อยดื่ม ดื่มวันล่ะครั้งและถ้าคุณดื่มมันในช่วงเช้ายังช่วยคุณในการลดน้ำหนักอีกด้วยแต่กลับกันคือถ้าคุณทานในช่วงบ่ายจะทำให้น้ำหนักตัวของคุณพุ่งพรวดขึ้นได้
2.ทำชามะละกอผสมเก๊กฮวย ให้คุณนำมะละกอแบบดิบๆ มาปลอกเปลือกและล้างยางออกให้หมดด้วยน้ำที่สะอาดแล้วอย่าลืมเอาเม็ดออกก่อนด้วยนะค่ะแล้วให้คุณนำมาหั่นเป็นชิ้นประมาณ 6-8 ชิ้น หลังจากนั้นให้คุณต้มน้ำร้อนทิ้งเอาไว้แล้วนำมะละกอลงไปร่วมกับดอกเก๊กฮวยแล้วจึงนำผงชาเขียวลงไปต้มด้วยแช่ทิ้งเอาไว้ประมาณ 5 นาที ก็เสร็จเรียบร้อยรอให้อุ่นๆ แล้วค่อยนำมาดื่มเป็นประจำทุกๆ เช้าจะช่วยคุณได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว
ป้ายกำกับ:
นิ่ว
,
นิ่วในถุงน้ำดี
,
ผ่าตัด
,
วิธี
,
สมุนไพร
,
สุขภาพความงาม
เขียนโดย
อ้อยิ้ม
ไม่มีความคิดเห็น
:

โรคเบาหวานหายได้ด้วยสมุนไพรฟื้นฟูตับอ่อน
โรคเบาหวานหายได้ด้วยสมุนไพรฟื้นฟูตับอ่อน
หลายๆ ท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าโรคเบาหวานนั้นมีความอันตรายร้ายแรงมากไม่ใช่โรคที่คุณควรจะมองข้ามหรือปล่อยล่ะเลยเพราะคิดว่าไม่เห็นจะน่ากลัวอะไรเลยเพราะสิ่งที่คุณอาจจะยังไม่รู้ก็คือโรคเบาหวานนั้นมีความอันตรายร้ายแรงเทียบเท่ากับโรคเอดส์ซึ่งข้อนี้คือความจริงที่ทางองค์การอนามัยโลกได้ประกาศออกมาเมื่อปี 2548 ส่วนความแตกต่างของทั้งสองโรคนี้ก็คือโรคเบาหวานไม่ใช่โรคติดต่อแต่กับคร่าชีวิตคนทั่วโลกถึงปีล่ะ 3.2 ล้านคนต่อปีซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่สูงมาก ส่วนสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานเกี่ยวกับการดื่มของเราโดยตรง เช่น น้ำอัดลมทุกชนิด น้ำหวาน น้ำผลไม้กล่องที่มีน้ำตาล น้ำชาที่มีส่วนผสมของน้ำตาลเยอะๆ แป้ง ข้าวขาว ขนมหวานๆ และ อาหารตามสั่ง หรือ ฟาสต์ฟูด ของกินเหล่านี้ล้วนกินเข้าไปแล้วไปเพิ่มน้ำตาลในเลือดทั้งสิ้นดังนั้นอย่าพยายามกินหรือดื่มของเหล่านี้บ่อยๆ นะค่ะ ส่วนตับอ่อนนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับโรคเบาหวานลองมาอ่านกันเลยค่ะเนื่องตับอ่อนของเรานั้นมีหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนที่มีชื่อว่าอินซูลินซึ่งจะเป็นตัวนำพาน้ำตาลกลูโคสเข้าไปเป็นอาหารแทนซึ่งทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายเรานั้นเกิดการทำงานที่หนักขึ้นนั่นเองซึ่งเป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน
สมุนไพรช่วยบำรุงตับรักษาโรคเบาหวานให้หายได้
1.ใบมะรุม เนื่องจากในใบมะรุมนั้นโครเมี่ยมสูงซึ่งมีสารช่วยในเรื่องของลดน้ำตาลในเลือดได้ซึ่งก็คือสาร Benzylamine 1 ในทุกวันนี้มีผู้ที่เป็นโรคเบาหวานแล้วลองรับประทานใบมะรุมแล้วพบว่าตัวเองนั้นสามารถหายจากโรคเบาหวานได้ถึงใบมะรุมนั้นจะสามารถช่วยรักษาโรคเบาหวานได้ก็จริงแต่ว่าการรับประทานใบมะรุมติดต่อกันนานๆ ในปริมาณมากๆ นั้นอาจจะทำให้เกิดการสะสมของพิษในร่างกายของเราได้เช่นกันดังนั้นควรจะรับประทานเว้นระยะด้วย
2.ใบมะยม ถือเป็นผักพื้นบางของคนลาวที่นิยมรับประทานกันสามารรับประทานเพื่อรักษาให้หายจากโรคเบาหวานได้แต่ก็แล้วแต่บุคคลด้วยว่าจะช่วยคุณได้มากน้อยแค่ไหน
3.อบเชย หลายๆ คนคงจะรู้จักอบเชยกันเป็นอย่างดีซึ่งอบเชยนั้นจริงๆ แล้วมีธาตุโครเมี่ยมสูงซึ่งเป็นส่วนผสมที่มีความสำคัญต่อตับอ่อนของเรามากๆ เลยทีเดียวเนื่องจากว่าอบเชยนี้มีความสำคัญต่อการทำงานคล้ายๆ กับอินซูลินซึ่งอบเชยนี้ช่วยให้น้ำตาลในเลือดของเราลดลงได้และเมื่อคุณนำเชยนั้นมาต้มใส่น้ำดื่มห้ามผสมน้ำตาลใส่ลงไปนะค่ะ
ถ้าคุณหมั่นดูแลสุขภาพร่างกายตัวเองเป็นอย่างดีรับลิงว่าคุณจะต้องหายจากการเป็นโรคเบาหวานอย่างแน่นอนอย่าเพิ่งหมดหวังหรือท้อแท้นะค่ะ
หลายๆ ท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าโรคเบาหวานนั้นมีความอันตรายร้ายแรงมากไม่ใช่โรคที่คุณควรจะมองข้ามหรือปล่อยล่ะเลยเพราะคิดว่าไม่เห็นจะน่ากลัวอะไรเลยเพราะสิ่งที่คุณอาจจะยังไม่รู้ก็คือโรคเบาหวานนั้นมีความอันตรายร้ายแรงเทียบเท่ากับโรคเอดส์ซึ่งข้อนี้คือความจริงที่ทางองค์การอนามัยโลกได้ประกาศออกมาเมื่อปี 2548 ส่วนความแตกต่างของทั้งสองโรคนี้ก็คือโรคเบาหวานไม่ใช่โรคติดต่อแต่กับคร่าชีวิตคนทั่วโลกถึงปีล่ะ 3.2 ล้านคนต่อปีซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่สูงมาก ส่วนสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานเกี่ยวกับการดื่มของเราโดยตรง เช่น น้ำอัดลมทุกชนิด น้ำหวาน น้ำผลไม้กล่องที่มีน้ำตาล น้ำชาที่มีส่วนผสมของน้ำตาลเยอะๆ แป้ง ข้าวขาว ขนมหวานๆ และ อาหารตามสั่ง หรือ ฟาสต์ฟูด ของกินเหล่านี้ล้วนกินเข้าไปแล้วไปเพิ่มน้ำตาลในเลือดทั้งสิ้นดังนั้นอย่าพยายามกินหรือดื่มของเหล่านี้บ่อยๆ นะค่ะ ส่วนตับอ่อนนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับโรคเบาหวานลองมาอ่านกันเลยค่ะเนื่องตับอ่อนของเรานั้นมีหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนที่มีชื่อว่าอินซูลินซึ่งจะเป็นตัวนำพาน้ำตาลกลูโคสเข้าไปเป็นอาหารแทนซึ่งทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายเรานั้นเกิดการทำงานที่หนักขึ้นนั่นเองซึ่งเป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน
สมุนไพรช่วยบำรุงตับรักษาโรคเบาหวานให้หายได้
1.ใบมะรุม เนื่องจากในใบมะรุมนั้นโครเมี่ยมสูงซึ่งมีสารช่วยในเรื่องของลดน้ำตาลในเลือดได้ซึ่งก็คือสาร Benzylamine 1 ในทุกวันนี้มีผู้ที่เป็นโรคเบาหวานแล้วลองรับประทานใบมะรุมแล้วพบว่าตัวเองนั้นสามารถหายจากโรคเบาหวานได้ถึงใบมะรุมนั้นจะสามารถช่วยรักษาโรคเบาหวานได้ก็จริงแต่ว่าการรับประทานใบมะรุมติดต่อกันนานๆ ในปริมาณมากๆ นั้นอาจจะทำให้เกิดการสะสมของพิษในร่างกายของเราได้เช่นกันดังนั้นควรจะรับประทานเว้นระยะด้วย
2.ใบมะยม ถือเป็นผักพื้นบางของคนลาวที่นิยมรับประทานกันสามารรับประทานเพื่อรักษาให้หายจากโรคเบาหวานได้แต่ก็แล้วแต่บุคคลด้วยว่าจะช่วยคุณได้มากน้อยแค่ไหน
3.อบเชย หลายๆ คนคงจะรู้จักอบเชยกันเป็นอย่างดีซึ่งอบเชยนั้นจริงๆ แล้วมีธาตุโครเมี่ยมสูงซึ่งเป็นส่วนผสมที่มีความสำคัญต่อตับอ่อนของเรามากๆ เลยทีเดียวเนื่องจากว่าอบเชยนี้มีความสำคัญต่อการทำงานคล้ายๆ กับอินซูลินซึ่งอบเชยนี้ช่วยให้น้ำตาลในเลือดของเราลดลงได้และเมื่อคุณนำเชยนั้นมาต้มใส่น้ำดื่มห้ามผสมน้ำตาลใส่ลงไปนะค่ะ
ถ้าคุณหมั่นดูแลสุขภาพร่างกายตัวเองเป็นอย่างดีรับลิงว่าคุณจะต้องหายจากการเป็นโรคเบาหวานอย่างแน่นอนอย่าเพิ่งหมดหวังหรือท้อแท้นะค่ะ
สมัครสมาชิก:
บทความ
(
Atom
)